ศึกสามเส้า รมต.เกษตรฯ ไม่จบ เสี่ยงลามสัมพันธ์พรรคร่วมฯ

ศึกสามเส้า รมต.เกษตรฯ ไม่จบ เสี่ยงลามสัมพันธ์พรรคร่วมฯ

ศึกภายในกระทรวงเกษตรฯ อาจสะท้อนความสัมพันธ์นักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง “ธรรมนัส-ไชยา-อนุชา” ที่ต่างคนต่างพรรค รอยร้าวที่เกิดขึ้นแม้ยังไม่กระทบสถานะรัฐบาล แต่อาจกัดกร่อนความสัมพันธ์ในระยะยาว

ผ่านมาเกือบ 3 เดือน งานภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังแบ่งกันไม่ลงตัว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกคำสั่งแบ่งงานให้ อนุชา นาคาศัย และ ไชยา พรหมา 2 รมช.เกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบกรม-กองในกระทรวง ดังนี้

โดย “ธรรมนัส” เหมากำกับดูแลกรม-หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงฯ กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) 

กรมประมง การยางแห่งประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร

เจียดให้ “อนุชา” กำกับดูแล 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมการข้าว กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และองค์การสะพานปลา

ส่วนที่เหลือ “ไชยา” กำกับดูแล 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมปศุสัตว์ กรมฝนหลวงฯ กรมหม่อนไหม องค์การส่งเสริมกิจการโคนมฯ (อ.ส.ค.)

หากยังจำกันได้ “บิ๊กข้าราชการ” ภายในกระทรวงเกษตรฯ ยอมรับว่า ได้รับคำสั่งจาก “เบอร์หนึ่งกระทรวง” ให้ปฏิบัติการลับลวงพราง ด้วยการร่างคำสั่งให้ “ข้าราชการ” ทุกกรม-ทุกหน่วยงาน ขึ้นตรงกับ “รัฐมนตรีว่าการ” เท่านั้น

จึงทำให้ข้าราชการอีก 8 หน่วยงาน ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “อนุชา-ไชยา” ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งจาก “ 2 รมช.” เพราะแม้จะมี กรม-หน่วยงาน ให้ทำงาน แต่ไม่สามารถให้คุณ-ให้โทษใดๆ หรือแม้แต่แต่งตั้งโยกย้ายได้ ย่อมเท่ากับว่าอำนาจในมือไม่มีอยู่จริง

“ไชยา” เคยออกมาสู้ตาย ส่วน “อนุชา” ผู้ยิ่งใหญ่ชัยนาท กลับเงียบกริบ เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าชนกับ “เบอร์หนึ่ง” แบบออกหน้า สถานการณ์ในกระทรวงเกษตรฯ จึงยังอึมครึม เพราะไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจเบอร์หนึ่งนอกจาก “ไชยา”

ล่าสุด “บิ๊กข้าราชการ” บางกรมลังเลจะรายงานผลเกี่ยวกับการดำเนินการตามนโยบายกับ รมว. หรือ รมช. ดี เพราะหากแทงหวยรัฐมนตรีที่ไม่ได้คุมกรม-หน่วยงาน ที่ตัวเองสังกัด ก็จะทำให้ผู้ที่ควบคุมดูแลงานตามมอบหมายเข้าใจผิด สุ่มเสี่ยงจะเสียอนาคตทางราชการ

ทว่า “บิ๊กข้าราชการ” จำใจต้องเลือกข้างเนื่องจากมีคำสั่งลับที่ยากจะปฏิเสธ โดยต้องรายงานความคืบหน้าทุกเรื่อง และหลายเรื่องไม่ได้รายงานกับ รมช.ซึ่งกำกับดูแลหน่วยงานโดยตรง

นอกจากนี้ ล่าสุด ยังมีกระแสข่าวว่าเบอร์หนึ่งอาจจะขอเกลี่ย กรม-หน่วยงาน ใหม่อีกรอบ โดยจะยึด “กรมปศุสัตว์” คืนจาก “ไชยา” โดยเอา “กรมการข้าว” ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ “อนุชา” มาแลกกับ “ไชยา”

เท่ากับว่า “ธรรมนัส” จะได้กรมปศุสัตว์ไปดูแลเพิ่มเติม ส่วน “อนุชา” ขาดทุน โดนยึดคืนหนึ่งกรม ทำให้เหลือหน่วยงานในกำกับดูแลเพียง 3 หน่วยงาน

ทำให้ทั้ง “ไชยา” ต้องออกมาส่งสัญญาณอีกรอบ ยิ่งเห็นรอยร้าวทางการเมืองในกระทรวงนี้ชัดเจนขึ้น  เพราะหากโดนรุกกินแดนมากขึ้น แล้วยอมอยู่เฉย อาจไม่เหลือ กรม-หน่วยงาน ให้ดูแล เช่นเดียวกับ “อนุชา” ที่เคลื่อนไหวอยู่หลังฉาก เริ่มขบคิดจะเปิดหน้ารบแล้วเช่นกัน

ไม่ต่างจาก “บิ๊กข้าราชการ-ข้าราชการ” ภายในกระทรวงเกษตรฯเอง ก็เริ่มไม่แฮปปี้เนื่องจากเข้าสู่ฤดูแต่งตั้งโยกย้ายทุกกรม-ทุกหน่วยงาน

ว่ากันว่า ล่าสุด เบอร์หนึ่งยึดอำนาจจาก “ไชยา-อนุชา” ขอแต่งตั้งโยกย้าย 8 กรม-หน่วยงานด้วยตัวเอง ล่าสุดโยกย้ายตำแหน่ง “นายด่านกักกันสัตว์” จน “กรมปศุสัตว์” ต้องปั่นป่วนไปเสียหมด ด้าน “ไชยา” แม้จะอยากปกป้องคนทำงาน แต่ไม่อยากเปิดศึกงัดข้อ

หลังจากนี้ ต้องจับตาว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ซึ่งรับรู้ปัญหาในกระทรวงเกษตรฯ มาตลอดเวลา จะแก้เกม หย่าศึกนี้อย่างไร เพราะหากรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ  ยึดกระทรวงเกษตรฯ เบ็ดเสร็จ พรรคเพื่อไทยอาจไม่มีผลงานที่เคยหาเสียงเอาไว้เลย

ที่สำคัญต้องจับตา “เบอร์หนึ่ง” ที่มีกระแสข่าวอยากย้ายสังกัดกลับเข้าพรรคเพื่อไทย จะสามารถเปิดดีลกับ “บิ๊กเนมชั้น 14” ได้หรือไม่ เพราะภายในเพื่อไทย มีแรงต่อต้านของหลายกลุ่ม-หลายก๊วน

ศึกภายในกระทรวงเกษตรฯ อาจสะท้อนความสัมพันธ์นักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง “ธรรมนัส-ไชยา-อนุชา” ที่ต่างคนต่างพรรค รอยร้าวที่เกิดขึ้นแม้ยังไม่กระทบสถานะรัฐบาล แต่อาจกัดกร่อนความสัมพันธ์ในระยะยาว