'รัฐบาล' ลั่น 'แก้รธน.' ไม่แตะ 'พระราชอำนาจในหลวง' ไม่ยุ่ง หมวด1-2

'รัฐบาล' ลั่น 'แก้รธน.' ไม่แตะ 'พระราชอำนาจในหลวง' ไม่ยุ่ง หมวด1-2

"ภูมิธรรม" ลั่น แก้รัฐธรรมนูญ ไม่แตะหมวด1-2 ไม่แตะ พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ที่แทรกในหมวดต่างๆ แจง ทำให้เสร็จใน4ปี คาด ประชามติครั้งแรก ไตรมาส1 ปี67

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 แถลงถึงแนวทางการทำงานว่า ตนได้รับมอบหมายให้สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนกลุ่มวิชาชีพต่างๆ อาจใช้เวลานานในการสรรหา โดยหลักการสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือจะไม่แตะหมวด 1 และ 2 และไม่แตะพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่แทรกในหมวดต่างๆ นอกเหนือจากนั้นจะเป็นการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และจะจัดทำให้แล้วเสร็จรวมถึงกฎหมายลูกภายใน 4 ปี เพื่อที่จะให้การเลือกตั้งครั้งใหม่ควรเป็นไปตามกติกาที่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน 

สำหรับวิธีการทำประชามติมี 3 วิธี 1. ประชาชนจำนวน 5 หมื่นคนร่วมเข้าชื่อ 2. ยื่นเสนอผ่านรัฐสภา 3. ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติทำประชามติ ส่งต่อสภาฯ ซึ่งทาง ครม.ต้องการเห็นว่าหากเริ่มต้นจัดทำแล้วจะมีทิศทางอย่างไร จึงมีการตั้งคณะกรรมการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ซึ่งคณะกรรมการทำประชามติแม้จะมี 35 คน แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด จึงต้องกำหนดวิธีการว่าจะพบตัวแทนกลุ่มวิชาชีพต่างๆ เพื่อหารือ เช่น เชิญอธิการบดีและสภานักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ภาคธุรกิจ ภาคเกษตร และภาคสื่อมวลชน ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ได้กำหนดว่า ต้องมาจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน และจะมีการเชิญพรรคการเมืองขนาดเล็กหารืออีกครั้ง โดยจะประชุมนัดแรกวันที่ 10 ต.ค. เวลา 15.00 น. และคิดว่าการทำประชามติครั้งแรกจะเกิดขึ้นในไตรมาสแรกในปี 67 

 

เมื่อถามว่า สาเหตุที่พรรคก้าวไกลยังไม่มาร่วม เพราะไม่มั่นใจกระบวนการคัดเลือกสสร. หากไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็เท่ากับไม่ได้มาจากประชาชนหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ขอให้เข้ามาเสนอในที่ประชุม การแสดงความคิดเห็นจะเป็นอย่างไรก็เข้ามาคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนทั้งหมด ท่านเป็นเพียงหนึ่งความเห็นก็ต้องมาดูว่าคนส่วนใหญ่จะคิดอย่างไร ประเด็นของท่านถูกนำเสนอแน่ และหากไม่เข้าร่วมก็อาจเสนอความเห็นผ่านช่องทางอื่นๆได้ 

เมื่อถามว่า หากพรรคก้าวไกลไม่เสนอชื่อเข้ามาจนการประชุมเกิดขึ้นแล้วจะมีการตัดโควตาออกหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้ามีการประชุม 2 ครั้งแล้วยังไม่เสนอชื่อมาอาจพิจารณาตัดออก 

เมื่อถามว่า การไม่มีรายชื่อจากพรรคก้าวไกลเข้ามา จะทำให้คณะกรรมการชุดนี้ชอบธรรมหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนก็ยังรอ แต่หากไม่พร้อมไม่สะดวกใจด้วยเหตุใด เราก็มีเวลาที่จะทำให้เกิดการรับฟังความคิดเห็นได้ 

เมื่อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จำเป็นต้องมีสสร.หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้จะตีโจทย์เป็น 3 ประเด็น คือ 1.กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรเป็นอย่างไร จะแก้แบบไหน ใช้สสร.หรือไม่ จะเลือกมาแบบไหน จังหวัดละคน แบ่งสัดส่วนตามจำนวนประชากร หรือมีทั้งเลือกตั้งและบางส่วนมาจากการผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มวิชาชีพ 2.ต้องพิจารณาว่าจะทำประชามติกี่ครั้ง เราอยากประหยัดด้วยการทำน้อยที่สุดแต่ เพราะแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณ 4-5 พันล้าน โดยต้องดูให้ถูกต้องตามแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้หากทำได้แค่ 2 ครั้ง คือก่อนแก้และหลังแก้ก็จะดีที่สุด เพราะใช้งบประมาณ 7-8 พันล้านนอกจากประหยัดงบประมาณแล้วยังประหยัดเวลาในการแก้รัฐธรรมนูญด้วย เพราะแต่ละครั้งอาจใช้เวลาประมาณ 4 เดือน และ3.คือเรื่องเกี่ยวกับคำถามในประชามติครั้งแรกจะเป็นอย่างไรและนอกจากจะใช้เวลา4 ปีแล้วสำคัญที่สุดคือต้องทำให้ผ่าน เอาความเห็นต่างมาคุยกันให้ตกผลึก และหาจุดร่วมที่สามารถทำได้ 

เมื่อถามว่า ทำไมต้องวางเงื่อนไขไม่แก้หมวด 1 หมวด 2 นายภูมิธรรม กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่อาจถูกนำไปสร้างความขัดแย้ง อะไรที่เป็นปัญหาเดิมที่ยังไม่ได้แก้ไขก็งดเว้นไว้ก่อน ตนไม่ได้หมายความว่าอะไรผิดถูกหรือดีไม่ดี แต่เราต้องทำให้รัฐธรรมนูญผ่านได้ อะไรที่ยังขัดแย้งเราก็พยายามหลีกเลี่ยง เพราะคำว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่งวัดเพียงด้านเดียวในสังคมที่มีความแตกต่างจึงต้องหาจุดร่วมให้ได้ มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นความขัดแย้งใหม่ที่เราสร้างขึ้นมา