"สรรเพชร" อัดรัฐบาลตระบัดสัตย์ดัน"ผู้ว่า CEO" รวบอำนาจกระจุกส่วนกลาง

"สรรเพชร" อัดรัฐบาลตระบัดสัตย์ดัน"ผู้ว่า CEO" รวบอำนาจกระจุกส่วนกลาง

"สรรเพชร" จวกรัฐบาลตระบัดสัตย์ ดัน "ผู้ว่า CEO" รวบอำนาจกระจุกส่วนกลาง หวัง สสร.ชูการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น

นายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ว่า นโยบายเหมือนจะดูดี คำสวยหรู แต่กลับเห็นอนาคตกลับมืดมน ไร้ทิศทาง เป็นนามธรรม เป็นภาพกว้าง อย่างไรก็ตามปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและอื่นๆ ส่วนหนึ่งเกิดมาจากอำนาจรัฐที่กระจุกตัว ส่วนกลางหวงอำนาจ ซึ่งเราแก้ปัญหาจากหนักให้เป็นเบาด้วยการกระจายอำนาจ การกระจายโอกาสให้คนในท้องถิ่นกำหนดชะตาชีวิตของคัวเองได้ กระจายโอกาส และลดความเสี่ยงของรัฐส่วนกลาง ให้เขากำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ หรือที่เรียกว่าเกาให้ถูกที่คัน 

นายสรรเพชร ยกนโยบาย ‘ผู้ว่า CEO’ ขึ้นมาอภิปรายว่า รัฐบาลเข้าใจผิดและสับสนเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ เพราะต้องลดบทบาท อำนาจ ภารกิจของรัฐส่วนกลาง รวมทั้งส่วนภูมิภาค และไปเพิ่มอำนาจ งบประมาณและทรัพยากรให้ท้องถิ่นดูแลตัวเองได้

แต่นโยบายผู้ว่า CEO เป็นการบริหารงานแบบเอกชน แบบบริษัทที่รวมศูนย์กลางอำนาจการจัดการไว้ที่เบอร์หนึ่งของบริษัท ในยุคที่ผู้ว่า CEO เฟื่องฟู หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดความอ่อนแอ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนถูกตัดขาด เพราะแนวทางการบริหารของผู้ว่า CEO ตกเป็นมือไม้ของฝ่ายการเมือง และเป็นกลไกในการรวบอำนาจ ไม่ใช่การกระจายอำนาจ

แต่เป็นการขยายอำนาจของรัฐส่วนกลางไปสู่รัฐภูมิภาคให้มันกว้างขึ้น เฉลี่ยคือเอาผู้บริหาร 1 คน ไปบริหารคน 7-8 แสนคน เป็นการมุ่งร้ายสู่ท้องถิ่นมากกว่าการประสงค์ดี

นายสรรเพชร กล่าวว่า นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี เคยเริ่มต้นการกระจายอำนาจด้วยการผลักดันให้มีการตรา พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์กรบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 และพ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ถือว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดเรื่องการกระจายอำนาจอย่างเป็นรูปธรรมและสมบูรณ์แบบ และสอกคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้ท้องถิ่นได้เริ่มลงหลักปักฐานการกระจายอำนาจอย่างจริงจัง แล้วพวกท่านไม่อายผู้ใหญ่ที่บุกเบิกเรื่องนี้มาหรือ?

น่าเสียดายที่แกนนำพรรคร่วมและคณะรัฐมนตรีที่อ้างว่าตัวเองมาจากประชาชนกลับเห็นดีเห็นงามกับแนวคิดนี้ 

สส.สงขลา ถามว่า นายกรัฐมนตรีหลงลืมไปแล้วหรือไม่ว่านี่คือราชอาณาจักรไทย ไม่ใช่บริษัทที่ท่านคุ้นเคยก่อนมารับตำแหน่ง? และนโยบายที่หาเสียงไว้เป็นประชาธิปไตยอำพรางเพื่อหาคะแนนเสียง? เพราะพรรคเพื่อไทยเคยบอกว่าจะเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อมและยกระดับพื้นที่เพื่อเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ๆ

แต่เมื่อได้รับโอกาสเป็นรัฐบาลนโยบายเหล่านี้กลับไม่ปรากฎในคำแถลงนโยบาย แถมยังทำตรงกันข้ามคือกระจุกอำนาจ รวมศูนย์อำนาจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

อีกทั้งปิดประตูตายการกระจายอำนาจ ด้วยคำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า นโยบายเลือกตั้งผู็ว่าไม่ได้เป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ตนไม่กล่าวโทษเพราะไม่ใช่นโยบายที่หาเสียงไว้ แต่พรรคแกนนำที่มีเสียงสนับสนุนกว่าสิบล้านเสียงคงจะผิดหวังที่ยอมแลกจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองเพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลและเพื่อสร้างเสถียรภาพความมั่นคงให้ตัวเอง

“ผมว่าท่านควรเลิกอ้างว่าเป็นรัฐบาลของประชาชน แต่เป็นรัฐบาลของพรรคร่วม โดยพรรคร่วม และเพื่อพรรคร่วม” นายสรรเพชร กล่าว 

นายสรรเพชร กล่าวว่า 30 ปีย้อนหลัง เรามุ่งเน้นการกระจายอำนาจ แต่เราจัดสรรงบประมาณให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้ไม่ถึง 30% ของรายได้สุทธิรัฐบาล แต่เป้าหมายคือ 35% บางคนกลัวว่าถ้ากระจายงบประมาณมากจะมีการคอร์รัปชัน แต่จากสถิติเมื่อปี 2564 ว่าการทุจริตของ อปท. สร้างความเสียหายน้อยกว่าส่วนกลาง-ภูมิภาค-รัฐวิสาหกิจ แต่งบประมาณของท้องถิ่นที่ได้รับการรับรองจาก สตง. มีสัดส่วนสูงกว่าภาครัฐ พร้อมทั้งยกตัวอย่างอคาเรียมที่สงขลา คือมหากาพย์การโกง 1,400 ล้านบาท 15 ปีผ่านไปยังสร้างไม่เสร็จ และนี่คือสิ่งที่รัฐบาลยัดเยียดในสิ่งที่คนในพื้นที่ไม่ต้องการ 

ในช่วงท้าย นายสรรเพชร ยอมรับว่า ตัวเองหมดหวังต่อคณะรัฐมนตรีว่าจะเอาการกระจายอำนาจเข้าไปในภารกิจ เพราะอ้างว่าเป็นรัฐบาลผสม แต่ยังมีหวังริบหรี่ว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญที่อาจจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้จะเอาเรื่องการกระจายอำนาจเข้าไปเป็นวาระหลักในการจัดทำรัฐธรรมนูญ เพื่อให้หลักประกันว่าท้องถิ่นจะได้รับการดูแลเอาใจใส่และพัฒนาอย่างก้าวกระโดด 

“ขอให้กลับไปคิดใหม่ คิดใหญ่ ทำเป็น เหมือนสโลแกนของท่าน วันนี้ท่านแถลงนโยบายเท่ากับตระบัดสัตย์ต่อประชาชนไปแล้วด้วยการหาเสียงแบบไม่รับผิดชอบต่อคำพูด พวกท่านอย่าทำผิดซ้ำสองเลย พวกผมจะทำหน้าที่พรรคร่วมฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อนักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน” นายสรรเพชร กล่าว