จุดเปลี่ยน“อำนาจบ้านป่าฯ” “ลุงป้อม” ถึงคราอัสดง

จุดเปลี่ยน“อำนาจบ้านป่าฯ” “ลุงป้อม” ถึงคราอัสดง

ถึงวันนี้ สายลมแห่งอำนาจ อาจกำลังเปลี่ยนแปลงทิศทาง พัดผ่านป่ารอยต่อฯ ไปอย่างช้าๆ ชนิดที่ใครบางคนอาจจะยังไม่ทันได้รู้สึกตัว

การที่ "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไม่ปรากฏกายเข้าร่วมประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ เมื่อ22 ส.ค.ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับน้องชาย อย่าง พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ที่มีตำแหน่งเป็น สว. สะท้อนถึงปรากฏการณ์อะไรหลายอย่าง

โดยเฉพาะขุมข่ายอำนาจแห่งป่ารอยต่อฯ เวลานี้ อาจถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งสำคัญ การที่ 2 พี่น้องวงษ์สุวรรณ พร้อมใจไม่เข้าไปลงมติ มีแนวโน้มมาจากสาเหตุสำคัญ คือเกมเจรจาต่อรองจำนวนโควตา และที่ทางเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี ที่ผิดความคาดหมายค่อนข้างมาก

เที่ยวนี้คนที่มีบทบาทสำคัญในการดีลร่วมรัฐบาลคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ คอยเดินเกม

เดิมวางเงื่อนไขไว้สูงลิบ 4 รมว. และ 3 รมช. เก้าอี้กระทรวงสำคัญๆ ที่หมายตาเพื่อผลักดันเรื่องน้ำ คือ มหาดไทย เกษตรและสหกรณ์ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ดูเหมือนจะสมหวังเพียงแค่กระทรวงทรัพยากรฯ ที่มีชื่อพัชรวาท จองเท่านั้น

ด้วยจำนวน 40 สส.ของพลังประชารัฐ บวกกับ สว.สายบ้านป่าฯ อีกจำนวนหนึ่ง จึงถูกใช้เพื่อหวังผลเพิ่มอำนาจต่อรองมาตั้งแต่ก่อนโหวตเลือกนายกฯ จนกระทั่งเกือบจะนาทีสุดท้าย ก่อนถึงเวลาโหวต การต่อรองก็ยังไม่ยุติ  

เงื่อนไขสำคัญที่พลังประชารัฐ ต้องการมากที่สุดคือ รมว.เกษตรฯ ให้กับธรรมนัส เพราะ มท.1 นั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่จนแล้วจนรอด เพื่อไทย ก็ไม่ได้หลงเหลี่ยมพลังประชารัฐแต่อย่างใด ที่เอาจำนวนเสียง สส-สว. ที่คุมได้เป็นเงื่อนไขกำหนดอนาคตเศรษฐา ทวีสิน ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30

งานนี้คีย์แมนเพื่อไทย รู้ไพ่ในมือพลังประชารัฐ เป็นอย่างดีว่าเป็นอย่างไร จะคิดอ่านเดินเกมแบบไหน เรียกว่ามองขาด รู้ไต๋ไปหมด โดยเฉพาะการมี พัชรวาทและธรรมนัส แพ็กคู่ ทำให้เพื่อไทยและแนวร่วมอื่นๆ เตรียมแผนรองรับไว้เรียบร้อย

ย้อนไปก่อนหน้า ที่เพื่อไทยจะเปิดตัวจับมือกับพรรค 2 ลุง มีการประเมินสถานการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าเลือกเอาเฉพาะรวมไทยสร้างชาติ ที่มี 36 สส. บวกกับ สว.สายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกจำนวนหนึ่ง ก็พอจะอุ่นใจในการจะผ่านด่านโหวตนายกฯ ไปได้

ขณะที่พลังประชารัฐ โดย ไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร สายตรงธรรมนัส ที่จู่ๆ ก็ออกโรงแถลงว่า 40 สส.ของพรรค พร้อมโหวตให้เศรษฐา โดยไม่มีเงื่อนไขร่วมรัฐบาล ทั้งที่ยังไม่มีการเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ สส. ซึ่งหลายคนมารู้อีกทีก็เป็นข่าวไปแล้ว   

สัญญาณชัดว่า เกิดความไม่ปกติขึ้นกับพลังประชารัฐ ที่ชิงออกตัวเร็วขนาดนั้น ทั้งที่คำเชิญอย่างเป็นทางการจากเจ้าภาพยังไม่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะได้สัญญาณอะไรบางอย่างว่า ถ้าขืนมัวแต่เล่นแง่ อาจตกขบวน

เงื่อนไขที่เคยวางไว้สูง จึงค่อยๆ ลดลง ได้ 2 รมว. และ 2 รมช. ก็ต้องคว้าไว้ก่อนอย่างเสียไม่ได้

แม้จะยังหวัง รมว.เกษตรฯ ก็มีแนวโน้มว่าจะทำได้แค่แอ็กชั่น สุดท้ายต้องยอมรับชิ้นเนื้อตามที่เพื่อไทยเฉือนให้ โดย3 คีย์แมน คนเดินเกมต่อรอง ล็อกโควตาของตัวเองเอาไว้ ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่า พัชรวาท จะได้นั่งรองนายกฯ ควบรมว.ทรัพยากรฯ เมื่อความหวังที่จะไปนั่ง รมว.กลาโหมถูกแรงต้านอย่างหนัก จนเพื่อไทยต้องตัดจบ 

ส่วนเลขาฯพรรค ธรรมนัส ที่หวังว่าจะลงตัวที่ รมว.แรงงาน นาทีนี้ ก็ยังเสี่ยงจะถูกริบเก้าอี้นี้ เพื่อสลับกระทรวงใหม่ ขณะที่รองหัวหน้าพรรค สันติ พร้อมพัฒน์ ยังมีลุ้นจะได้นั่ง รมช.คลัง ตามเดิม

ส่วนอีก 1 เก้าอี้ รมช. หวยจะออกกระทรวงไหน ยังต้องลุ้น จะเป็น มท.2 หรือไม่ ก่อนหน้านี้ ชื่อของไผ่ ลิกค์ ถูกจับตาค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้ชื่อของ ตรีนุช เทียนทอง ลูกรักลุงป้อม กำลังมาแรง เพราะไม่เช่นนั้น เท่ากับว่า 4 โควตาของพรรค จะมีแต่คนในสายพัชรวาทและธรรมนัส คว้าไปเกือบหมด

อารมณ์ของลุงป้อมวันนี้ เลยออกจะเซ็งๆ แต่ก็ต้องนิ่งเข้าไว้ จากที่เคยบริหารจัดการอะไรได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการรัฐบาลประยุทธ์ จนบริวารต่างคิดใหญ่กล่อมนายว่าเหมาะเป็นนายกฯ คนที่ 30 แม้วันนี้จะได้เศรษฐาไปแล้ว บางคนก็อาจจะยังอารมณ์ค้างท่ามกลางความฝันที่ค่อยๆ เลือนลาง ห่างไกลความเป็นจริงขึ้นไปทุกที

ลำพังแค่ต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีวันนี้ยังหืดขึ้นคอ ไม่ได้ตามที่ต้องการ การจะเดินแรง เร่งพลิกเกม จึงยากยิ่งกว่า เพราะอาจไร้แนวร่วม

ถึงวันนี้ สายลมแห่งอำนาจ อาจกำลังเปลี่ยนแปลงทิศทาง พัดผ่านป่ารอยต่อฯ ไปอย่างช้าๆชนิดที่ใครบางคนอาจจะยังไม่ทันได้รู้สึกตัว

ขุมข่ายอำนาจในมือที่เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช กำลังเจอความท้าทายใหม่ จากเครือข่ายเพื่อไทย และประยุทธ์ ที่แพ็กกันคุมเกม 

ที่สำคัญหลายคนต่างเป็นปฏิปักษ์ชัดเจนกับพวกขาใหญ่ในพลังประชารัฐ ชนิดที่ไม่เผาผี เลยไม่ต้องแปลกใจ ถ้าฝ่ายหลังจะถูกกำหนดบทบาทให้อยู่เท่าที่ควรอยู่

ถ้าลองถอดผลลัพธ์เสียงโหวตเศรษฐา ตามมติที่รัฐสภาเห็นชอบ 482 เสียง ทั้งที่ สว.สายลุงป้อม ส่วนใหญ่งดออกเสียงให้แล้วก็ตาม เมื่อหัก 40 เสียงของพลังประชารัฐ ออกจาก 482 เสียง จะเหลือ 442 เสียง ก็ยังผ่านกึ่งหนึ่งอยู่ดี

หรือถ้านับเฉพาะ 11 พรรคร่วม 314 เสียง แล้วลองหัก 40 สส.พลังประชารัฐ จะเหลือ 274 เสียงก็เกินกึ่งหนึ่งของสภาล่างอยู่ดี แถมยังมีโอกาสได้ สส.อะไหล่จากประชาธิปัตย์ ที่โหวตเศรษฐามาแทนที่

ปรากฏการณ์นี้ จึงพอจะเข้าใจได้ว่า เหตุใดอำนาจต่อรองของพลังประชารัฐในวันนี้ จึงแทบไร้การตอบสนองจากแกนนำอย่างเพื่อไทย