"อนุทิน" รับยื้อโหวตนายกฯดีล "พท.-ภท."เลื่อน ปม "เศรษฐา"แก้112 เรื่องส่วนตัว

"อนุทิน" รับยื้อโหวตนายกฯดีล "พท.-ภท."เลื่อน ปม "เศรษฐา"แก้112 เรื่องส่วนตัว

"อนุทิน" ยอมรับเลื่อนโหวตนายกฯ กระทบดีล "เพื่อไทย-ภูมิใจไทย" ไม่ก้าวล่วง "มีลุง-ไม่มีลุง" มองปม "เศรษฐา" หนุนแก้112 เรื่องส่วนตัว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล  หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงทิศทางการโหวตนายกฯ ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้พิจารณากรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล  เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  รวมไปถึงทางทางประธานรัฐสภามีคำสั่งให้เลื่อนโหวตนายกฯ รอบที่ 3 ในวันที่ 4 ก.ค. ออกไปก่อ​น​ ว่า การเลื่อนโหวตนายกรัฐมนตรีออกไปนั้น ทุกอย่างก็คงขึ้นอยู่กับทางประธานรัฐสภา ในการดูความเหมาะสมและความชัดเจนในส่วนของกรอบกฎหมาย  เพื่อที่จะไม่ได้มีปัญหาในอนาคต  

ยอมรับว่าก่อนที่จะมีประกาศของศาลออกมานั้น ทางพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ได้มีการนัดพูดคุยและหารือกัน แต่เมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ทางพรรคเพื่อไทยเองก็ได้แจ้งมาว่าอาจจะขอเลื่อนการหารือในวันนี้ไปก่อน จากเดิมที่มีกำหนดการพูดคุยกันในช่วง 13.00 น. ของวันนี้  

ส่วนมองว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ดูแล้วค่อนข้างจะไม่ราบรื่นเหมือนครั้งก่อนๆหรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า  ส่วนตัวคิดว่าเป็นไปตามระบบ และเชื่อว่าทุกคนอยากเห็นความชัดเจนของข้อกฎหมาย  ส่วนถามว่าจะส่งผลดีต่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้มีเวลาในการดีลกับพรรคอื่นๆ ในส่วนนี้ตนเองคิดว่าไม่ได้มองเป็นเรื่องที่ดี เพราะรัฐบาลใหม่ควรได้รับการจัดตั้งโดยเร็ว เพราะ ณ ตอนนี้ตั้งแต่เลือกตั้งมาผ่านไปนานกว่า 3 เดือน แต่กลับไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้  ซึ่งในส่วนของรัฐบาลรักษาการเอง จะมีอำนาจเต็มแต่การที่มีรัฐบาลใหม่ที่เป็นทางการคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า  และสานต่อในงานที่ไม่สามารถทำได้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์  ได้ออกมาโจมตีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับเรื่องในอดีต ในส่วนนี้พรรคภูมิใจไทยเองมีการตั้งคำถามหรือมีการสอบถามไปยังทางนายเศรษฐา​ หรือไม่  รวมไปถึงปมเกี่ยวกับคำพูดในอดีตที่มีการหาเสียงเรื่อง ม.112   นายอนุทิน​ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยได้มีการแจ้งและบอกรายละเอียดกับทางพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไปแล้ว ว่าในส่วนของพรรคภูมิใจไทยมีแนวทางอย่างไร ตามที่ได้แถลงการณ์ไปเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา   ส่วนเรื่องคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคนั้น ตนมองเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งทางพรรคอื่นไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือยุ่งในมุมของพรรคเขา ส่วนตัว หากทางพรรคแกนนำ รับข้อเสนอในส่วนของกรอบของพรรคตนได้ก็ถือว่าจบ แต่ในส่วนของประวัติหรืออดีตของคนที่พรรคอื่นจะเสนอชื่อนั้น ไม่ขอก้าวก่าย  เป็นเรื่องของพรรคใครพรรคมัน  

ส่วนประเด็นที่มีการขุดคุ้ยคลิปเสียงของนายเศรษฐา เรื่องมาตรา 112 ในอดีตช่วงที่มีการหาเสียง นายอนุทิน​ มองว่ามันก็เป็นเรื่องที่ทางพรรคและหากเจ้าตัวจะต้องออกมาชี้แจง แต่เข้าใจในสถานการณ์ ณ ตอนนั้น 

ส่วนพรรคภูมิใจไทยกับพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้มีเงื่อนไขกับพรรคอื่นๆหรือไม่  นายอนุทิน กล่าว่า ก่อนที่จะจัดตั้งรัฐบาลจะต้องมีหลักประกันเกี่ยวกับจำนวนเสียงของการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่าต้องมี 375 เสียงในมือ ตนมองว่าเรื่องนี้ไม่สามารถที่จะพูดได้ว่าจะมีหลักประกันเป็นคะแนนเสียงเท่านั้นเท่านี้ เพราะ ไม่ได้มองเป็นหน้าที่ของพรรคใดพรรคหนึ่งแต่จะต้องเป็นในส่วนของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่จะต้องช่วยกัน ย้ำพรรคภูมิใจไทยเน้นคำเดิมตามกรอบที่เเถลงไปก่อนหน้านี้

เมื่อถามว่าหากทางพรรคภูมิใจไทยต้องร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติ และ พรรคพลังประชารัฐ ในส่วนนี้ทางพรรคภูมิใจไทยพร้อมไปเดี่ยวหรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า เดิมการจัดตั้งรัฐบาลกรอบของพรรคภูมิใจไทยก็อยู่ในแถลงการณ์ ส่วนตัวเน้นย้ำต้องไม่ก้าวก่ายเรื่องของพรรคอื่น และยืนยันไร้สัญญาใจว่าหากพรรคภูมิใจไทยไป จะต้องมี 2 พรรคขั่วเดิมพ่วงไปด้วย  อย่างที่บอกว่าถ้าเเพ็กกับขั้วเดิมก็จะได้เสียงข้างน้อยเราเองจะไม่จัด เพราะพรรคภูมิใจไทยมองว่าอยากให้การจัดตั้งรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นมีความมั่นคง ซึ่งต้องอาศัยเสียงข้างมาก และย้ำไม่เคยมีใครทำกันที่ต้องจูงมือกันไป 

ส่วนที่หลายคนมองว่าถ้าไม่มี 2 พรรคที่กล่าวถึงอาจจะไม่สามารถฝ่าด่าน สว.ได้ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของพรรคแกนนำที่จะต้องไปพูดคุยและเจรจา ซึ่งตนเชื่อว่าพรรคแกนนำเองก็คงจะเข้าใจว่าหาเหตุผลในการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งก่อนติดขัดหรือติดในเรื่องปมอะไร เมื่อได้รับการแก้ไขแล้วก็เชื่อว่าคงไม่มีปัญหา