'จรัญ' ชี้สื่อส่วนสำคัญ เชื่อมความเข้าใจศาล รธน.-ปชช. เรื่องปกติโดนกดดัน

'จรัญ' ชี้สื่อส่วนสำคัญ เชื่อมความเข้าใจศาล รธน.-ปชช. เรื่องปกติโดนกดดัน

'จรัญ ภักดีธนากุล' ปาฐกถาพิเศษบทบาทของสื่อมวลชนในการส่งเสริมประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ชี้สื่อมีส่วนสำคัญ เชื่อมความเข้าใจระหว่างศาล รธน.-ปชช. เหตุพูดแก้ตัวกับสังคมไม่ได้ รับเรื่องปกติกดดันศาล แต่หากพูดไปก่อนวินิจฉัย กระทบคนจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2566 ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้จัดโครงการศาลรัฐธรรมนูญพบสื่อมวลชน ประจำปี พ.ศ. 2566 โดยมีนายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวเปิดโครงการว่า วัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนความคิดเห็นต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสื่อมวลชนกับศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ให้ความสำคัญกับการสื่อสารองค์กรโดยมุ่งหมายให้สื่อสารมวลชนในฐานะที่เป็นสื่อกลางเป็นกลไกสำคัญในการนำเสนอความรู้ข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่างๆเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจ บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ชัดเจนครบถ้วนและรอบด้านร่วมกัน ภายใต้การยอมรับในเสรีภาพของสื่อมวลชน และในที่สุดจะนำไปสู่เป้าหมายในการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารต่อไป

ขณะที่นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวปาฐกฤาพิเศษ เรื่อง "บทบาทของสื่อมวลชนในการส่งเสริมประชาธิปไตย และหลักนิติธรรม" ว่า สื่อมวลชนมีความสำคัญกับศาลรัฐธรรมนูญอย่างยิ่ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่มีโอกาสที่จะพูดแก้ตัวกับสังคมในแทบทุกเรื่อง ศาลไม่มีช่องทาง ไม่มีสื่อของศาล ไม่มี io ของศาล และโดยประเพณีของฝ่ายตุลาการอยากจะพูดอะไรกับประชาชน ก็เขียนลงในคำวินิจฉัยให้กระจ่างให้หมด แล้วไม่ต้องโต้แย้งหรือแก้ตัวกับประชาชน

\'จรัญ\' ชี้สื่อส่วนสำคัญ เชื่อมความเข้าใจศาล รธน.-ปชช. เรื่องปกติโดนกดดัน

อีกทั้ง ขอให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องหรือสนใจ รับเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปวิเคราะห์วิจัย แล้วจะวิพากษ์วิจารณ์ หรือเสนอแนะโดยถูกต้องสุจริตเป็นธรรม ก็จะกลับเป็นประโยชน์แก่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ที่มีใจเป็นธรรมในสังคม เหมือนผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ที่จะได้พัฒนาปรับปรุง แต่ขอให้ทำโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ตรงไปตรงมาไม่ผิด ข้อเท็จจริง ไม่หลงเชื่อไปตามพยานหลักฐานเท็จ ใช้กฎหมายถูกต้องตามหลักนิติธรรม

"ถ้าเราสามารถพัฒนาระบบกฎหมายระบบยุติธรรมของประเทศไทยให้มั่นคงอยู่บนหลักการนี้ได้ ก็จะมีส่วนช่วยให้ ระบอบการปกครอง ระบบการเมือง ระบบกฎหมาย ระบบงานยุติธรรมและระบบเศรษฐกิจ ระบบคิดและวิถีชีวิตของประชาชนมีคุณภาพมาตรฐานดีขึ้น" นายจรัญ กล่าว 

นายจรัญ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าศาลพูดก่อนที่คดีจะมาถึงศาล ศาลก็จะไม่ควรที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนั้น เพราะมีเดิมพันหรือผลกระทบกับคนเป็นล้าน เป็น 10 ล้าน กระทบสถาบันหลักของชาติ เพราะฉะนั้นเป็นปกติที่แรงกดดันของศาลรัฐธรรมนูญในสังคม อยากจะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในทิศทางที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตนเอง เพราะแพ้ไม่ได้นี่คือสถานะของศาล 

\'จรัญ\' ชี้สื่อส่วนสำคัญ เชื่อมความเข้าใจศาล รธน.-ปชช. เรื่องปกติโดนกดดัน

ดังนั้น สื่อมวลชนจึงเป็นอำนาจที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้เป็นการสะท้อนความคิด ความเห็นไปให้สังคมรับรู้ และมีเสรีภาพที่จะมีผลกระทบต่อสังคมแค่ไหนอย่างไร โดยปัจจัยแรงที่กดทับสื่อมวลชน คือ

  1. ระบอบการปกครองของประเทศ ที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และใช้ระบบการเมืองแบบรัฐสภา และส่วนใหญ่ก็เลือกใช้ระบบ 2 สภา ถ้าใช้เสรีภาพล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมืองจะมีปัญหาแล้วจะไปโทษว่า คนที่กล่าวหาดำเนินคดี กลั่นแกล้ง ก็ไม่กระจ่าง
  2. ระบบเศรษฐกิจ ที่เป็นระบบเสรี ที่สอดคล้องกับระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่อาจจะไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยประชาชนที่มาพร้อมกับทุนนิยม
  3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะระบบเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาและจะใหม่ไปเรื่อยๆ
  4. วิถีชีวิตประชาชนคนไทยในปัจจุบัน สื่อจะเป็นกลไกสำคัญในระบอบการเมืองเศรษฐกิจ เพื่อทำให้วิถีชีวิตของคนไทยค่อยๆดีขึ้น

"แต่ต้องระวัง อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า อย่าใจเร็วด่วนได้ คือต้องพรุ่งนี้ หรือเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นจะแตกหัก ถ้าสื่อใดพลาดไปแบบนั้น ผมว่าน่าห่วง" นายจรัญ กล่าว

นายจรัญ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีมหาอำนาจ ทุนนิยมสุดโต่ง ที่กำลังครอบงำระบบการเมือง กฎหมาย ความยุติธรรม ไม่มีประเทศไหนให้คนต่างชาติเข้ามาในที่รับฟังคดีด้วย เพราะจะเกิดผลกระทบเกิดการกดดันผู้พากษาที่ทำหน้าที่อยู่ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ฉะนั้นเมื่อคดีเข้าสู่ศาล ต้องสกัดการกดดันศาลทุกรูปแบบ เพื่อจะได้คุณภาพของคำวินิจฉัยชี้ขาด โดยมหาอำนาจยังครอบงำสื่อด้วย หลายสื่อรับข้อมูลจากมหาอำนาจ โดยการสอดแทรกเข้าไปในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตประชาชน

"สื่อมวลชนจะช่วยเชื่อมเป็นสื่อกลาง ให้แก่คนที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะสื่อสารอธิบายชี้แจงได้ ให้กับคนจำนวนมากได้รับรู้ได้เข้าใจ ความโกรธแค้น เกลียดชัง สำคัญผิด ก็จะได้เบาบางลง สังคมก็จะอยู่ร่วมกันได้หากระบบศาลไม่เป็นที่เคารพของประชาชนแล้ว ใครเดือดร้อนนั่นคือคนยาก คนจน คนด้อยโอกาส คนอ่อนแอจะเดือดร้อน แม้แต่สื่อก็เดือดร้อนด้วย" นายจรัญ กล่าว

ขณะที่สถานะและบทบาท จะต้องมี 4 ต้อง คือ

  • ต้องให้สื่อมวลชนมีสิทธิเสรี สื่อมวลชนไม่ได้สำคัญที่เป็นเสรีภาพสื่อ แต่เป็นเสรีให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือ ฉะนั้นต้องให้สื่อมวลชนมีเสรีภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
  • ต้องเป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับประชาชน ต้องเป็นตัวกลางให้ 2 ฝั่ง ที่มักจะขัดแย้งกันเข้าใจกัน ไม่ใช่ยุยงให้ลงถนนหรือกฎหมู่ เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย เป็นตัวบ่อนทำลายหลักธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรมที่ทรงพลังที่สุด
  • ต้องเป็นเวทีให้เกิดการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ข่าวสารและความรู้ให้ประชาชนเกิดความกระจ่าง  
  • ต้องไม่บิดเบือนความจริง ไม่แสวงหาสิ่งตอบแทนนอกระบบ เพื่อเผยแพร่ข้อมูล