อย่าเล่นการเมือง จนเศรษฐกิจพัง

อย่าเล่นการเมือง  จนเศรษฐกิจพัง

อย่ามัวเสียเวลา “เล่นการเมือง” กันมากเกินไป จนลืมนึกถึงปัญหาและโจทย์ประเทศที่กำลังรอการแก้ไข อย่าเล่นการเมืองกันเสียจนเลยเถิด จนทำให้ประเทศ เศรษฐกิจพังพินาศ

ประเด็นร้อนทางการเมืองสัปดาห์นี้ ต้องจับตาการโหวตนายกรัฐมนตรี เป็นห้วงเวลาชี้ชะตาประเทศหลังผ่านการเลือกตั้งทั่วไปมาแล้ว 2 เดือนเต็ม

ท่ามกลางปัจจัยรอบโลกที่ไม่เป็นใจ ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่สู้จะดีนัก ไม่นับรวมปัจจัยท้าทายอีกมากที่พร้อมไหล่บ่าเข้าประเทศ

หากเราไม่มีความพร้อม หรือการตั้งรับที่ดี ย่อมตกเป็นรอง และสูญเสียโอกาสต่างๆ อีกมากมาย การเปลี่ยนแปลงในแวดวงการเมืองบ้านเรากำลังเป็นประเด็นร้อน ทุกคนจับตาการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ นักลงทุน ประชาชนก็รอใจจดจ่อว่า รัฐบาลใหม่จะแก้ปัญหา หรือนำพาประเทศเดินไปทิศทางไหน

ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ไม่ฟื้นเต็มที่ “จีน” ซึ่งเป็นทั้งคู่ค้า และประเทศแห่งความหวังของการเข้ามาช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์จากนักท่องเที่ยวชาวจีน ก็ดูไม่ค่อยดีตามไปด้วย 

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ช้า ส่งผลให้ประชาชนลังเลกับการใช้จ่ายไปเที่ยวต่างประเทศ ผลก็คือจำนวนชาวจีนเดินทางเข้า 5 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือน พ.ค. แตกต่างกันไปเมื่อเทียบกับตัวเลขในปี 2562

ตัวเลขนักท่องเที่ยวบ่งชี้ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปีนี้ ซบเซาท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเติบโตลดลง ผลจากนโยบายการเงินตึงตัว และเศรษฐกิจจีนสูญเสียแรงส่ง 

แม้ว่าไทย ประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาค ได้ประโยชน์จากความต้องการเดินทางฟื้นตัวหลังโควิด แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยปีนี้ก็คาดว่าจะพลาดเป้า นั่นทำให้ นักเศรษฐศาสตร์โนมูระโฮลดิงส์ หั่นคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไทยปีนี้ลงมาอยู่ที่ 3.4% จาก 4% เนื่องจากรายได้การท่องเที่ยวลดลงกว่าที่คาด

ความหวังที่ประเทศไทย จะอาศัยใบบุญนักท่องเที่ยวจีน เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ก็คงอาศัยได้ไม่มากนัก ขณะเดียวกันผู้ประกอบการท่องเที่ยวเองก็ยังบอบช้ำไม่หาย การเปิดหน้าตักลงทุนเพื่อรับการท่องเที่ยวฟื้นเลยยังไม่เต็มที่นัก

ขณะที่ ภาคส่งออกอีกเครื่องยนต์หลักของเราก็ติดลบแบบโงหัวไม่ขึ้น รายงานส่งออกของไทยเดือน พ.ค.2566 ติดลบ 4.6% ติดลบต่อเนื่อง 8 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค.2565 การส่งออกไทยติดลบมาจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังไม่แน่นอน แม้ภาคผลิตอุตสาหกรรมโลกเร่งตัวขึ้นจากการผ่อนคลายปัญหาห่วงโซ่การผลิต แต่คำสั่งซื้อใหม่ไม่ได้เพิ่มมากนัก

เราได้แต่ตั้งความหวังแบบลมๆแล้งๆ ว่าการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย วันที่ 13 ก.ค.นี้ จะส่งสัญญาณที่ดี มีประกายแห่งความหวัง รวมไปถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ควรต้องได้เห็นฉากทัศน์ในเชิงบวก สร้างความมั่นใจให้กับคนในประเทศ และนักลงทุน อย่ามัวเสียเวลา “เล่นการเมือง” กันมากเกินไป จนลืมนึกถึงปัญหาและโจทย์ประเทศที่กำลังรอการแก้ไข อย่าเล่นการเมืองกันเสียจนเลยเถิด จนทำให้ประเทศ เศรษฐกิจพังพินาศ..