โชว์เอกสารค้ำประกันหนี้แบงก์ยูโอบี ‘พิธา’ 19 ล.อ้างยังเป็นจำนวนไม่แน่นอน

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2566 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ของสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2566 (ส่งเอกสารไป ป.ป.ช. เมื่อ 18 มิ.ย. 2566) โดยมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 85,023,720 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 20,740,176 บาท

สำหรับหนี้สินของนายพิธานั้น แจ้งว่า เป็นหนี้จากการค้ำประกัน เมื่อครั้งเป็นกรรมการบริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ออยฟอร์ไลฟ์ จำกัด) กับธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ระบุวันเดือนปีที่ให้กู้ 14 เม.ย. 2563 โดยระบุหมายเหตุว่า วันที่ทราบมูลหนี้ วงเงิน 19,932,762 บาท

ในเอกสารของบริษัท ลีกัล ไลน์ จำกัด แจ้งการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้รายบริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด ถึงนายแสง ลิ้มเจริญรัตน์ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะผู้ค้ำประกัน ลงวันที่ 14 เม.ย. 2563 ว่า ตามที่บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด กู้เงินจากธนาคารยูโอบี โดยท่านเป็นผู้ค้ำประกัน และยอมรับผิดในภาระหนี้ บัดนี้ธนาคารของแจ้งให้ทราบว่า ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาชดใช้ความเสียหายตามตั๋วเงิน และตั๋วสัญญาใช้เงิน คิดเพียงวันที่ 6 ก.พ. 2563 ลูกหนี้มีภาระหนี้เป็นต้นเงินจำนวน 58,359,289 บาท กับดอกเบี้ยจำนวน 1,438,996 บาท รวมเป็นเงิน 59,798,286 บาท โดยจำนวนเงินที่ผิดนัดชำระหนี้ข้างต้น ยังไม่รวมค่าภาระติดพันและหนี้อุปกรณ์อื่น ๆ

เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้แล้ว ท่านในฐานะผู้ค้ำประกันสามารถชำระหนี้ทั้งหมด หรือใช้สิทธิชำระหนี้แทน เงื่อนไขและวิธีการในการชำระหนี้ที่ลูกหนี้มีอยู่กับธนาคารก่อนการผิดนัดชำระหนี้เฉพาะในส่วนของการค้ำประกันต้องรับผิดก็ได้ 

ขณะที่นายพิธา หมายเหตุในเอกสารประกอบหนี้ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ลงนามโดยนายพิธา ระบุว่า หนี้ค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทดังกล่าวนั้น ในส่วนของผู้ยื่นเป็นเงินจำนวน 19,932,762 บาท โดยมีมูลหนี้ต้องรับผิดชอบทั้งหมด 59,798,286 บาท สำหรับหนี้ค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทแห่งนี้ ในส่วนของผู้ยื่นเป็นเพียงการนำหนี้ทั้งหมดมาหารด้วยจำนวนลูกหนี้ และผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบทั้งหมด 3 คนเท่านั้น

หนี้ค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทดังกล่าว ที่มีต่อธนาคารยูโอบี เป็นจำนวนหนี้ไม่แน่นอนว่า ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบเป็นจำนวนเท่าใด เพราะ ณ วันที่ 20 มี.ค. 2566 หนี้ทั้งหมดยังไม่มีการบังคับชำระหนี้ในส่วนของผู้ค้ำประกันทั้งหมดแต่อย่างใด