‘ชลน่าน-ศิธา’โต้เดือดควันหลงแถลงเอ็มโอยูปมคาดคั้นจุดยืนเสียมารยาท

‘ชลน่าน-ศิธา’โต้เดือดควันหลงแถลงเอ็มโอยูปมคาดคั้นจุดยืนเสียมารยาท

‘ชลน่าน-ศิธา’โต้กันเดือดควันหลงแถลงMOUปมคาดคั้นจุดยืนเสียมารยาท ‘ชลน่าน’ ซัดไม่ใช้สื่อแต่ไปถามคำถาม ยืนยันสนับสนุน ‘ก้าวไกล’ ตั้งรัฐบาล ‘ศิธา’ โต้ไม่กลัวเสียมารยาท แต่กลัวสืบทอดอำนาจ

ภายหลังการแถลงเอ็มโอยู 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล จากกรณีที่ น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกฯ พรรคไทยสร้างไทย ได้ถามแกนนำพรรคร่วมภายหลังลงนามในเอ็มโอยู โดยระบุว่า อยากเห็นเอ็มโอยูแอดวานซ์ให้ 8 พรรคสัญญาจะจับมือกันต่อไป แม้ตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือเป็นฝ่ายค้านร่วมกัน

ทำให้เมื่อวันที่ 23 พ.ค. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านรายการ “อยากมีเรื่องคุย” ถึงกรณีดังกล่าวว่า จริงๆแล้ว น.ต.ศิธา เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคร่วม ตนไม่สบายใจเท่าไหร่สำหรับคำถามของน.ต.ศิธา เพราะไม่ได้เป็นสื่อ แต่ไปคาดคั้นอย่างนี้ อีกทั้งตัวเองเป็นพรรคร่วม ตนคิดว่า เสียมารยาทอย่างยิ่ง ฝากคุณหญิงสุดารัตน์ ด้วย

“ขอตอบชัดเจนว่า เราจะจับมือเป็นพรรคฝ่ายค้านร่วมกัน มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราถือเสียงข้างมากอยู่ ตราบใดเราเกาะเกี่ยวกันอย่างนี้ ไม่มีทางเป็นพรรคฝ่ายค้าน ใครจะมาตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแข่งกับเรา ซึ่งคำถามพุ่งเป้ามาที่พรรคเพื่อไทย ถูกสังคมข่าวสารกระหน่ำซ้ำเติมตลอด ตนตอบครั้งที่ 501 เรายืนยันสนับสนุนพรรคก้าวไกล ข่าวที่ออกมาไม่เป็นประเด็น ความจริงพรรคเพื่อไทยบวกกับก้าวไกล 293 เสียง มันไม่มีทางเป็นฝ่ายค้าน เป็นรัฐบาลได้อย่างเดียว พรรคไหน จะมาแย่งจัด เอาความเป็นจริง อย่ามโน
 

เมื่อถามว่า คาดการณ์หรือไม่ว่าพูดขนาดนี้แล้ว สังคมยังปล่อยข่าวปั่นอยู่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนไม่อยากตอบ ต้องให้สังคมพูดกันเอง เพื่อไทยมีหน้าที่แสดงเจตนารมณ์ของเราตามที่ประชาชนคาดหวัง เหมือนที่เรากับก้าวไกล 293 เสียง ยิ่งบวกซีกประชาธิปไตยก็เกิน 300 เสียง ถือเป็นเจตนารมณ์มุ่งมั่นของประชชน เราต้องยึดเป็นหลัก

“สิ่งที่เขาวิจารณ์ หรือที่มีข่าวพรรคพลังประชารัฐจะยุบมารวมกับเพื่อไทย เพื่อตั้งรัฐบาลใหม่นั้น ตนให้คำมั่นว่า เพื่อไทยมุ่งมั่นสนับสนุนพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล สนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ ถึงเรามี 300 เสียงก็ยังยึดมั่น ใครจะมารวมกับเราก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะอ้างว่า เป็นพรรคอันดับ 1 ยืนยันเพื่อไทย เราไม่ทำ เรื่องเหล่านี้เป็นมิติการสร้างความเชื่อ นวัตกรรมการเมือง ยังไม่จบ กกต.ยังไม่ประกาศผล อะไรก็เกิดขึ้นได้ เขาก็หวังว่า จะทำลายฝ่ายประชาธิปไตยให้แยกสลายมากที่สุด”
 

ด้าน น.ต.ศิธา ทิวารี โพสต์ตอบโต้เช่นกัน โดยระบุว่า  ตามที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาฝากถึงผมในมุมของการเสียมารยาทนั้น ขออนุญาตชี้แจง ดังนี้เมื่อวานนี้ (วันที่ 22 พ.ค.) ในการแถลงข่าวเซ็น MOU จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ผมได้ตั้งคำถามไปยัง 8 พรรคการเมือง ว่า “ท่านจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน ว่าท่านจะยืนตัวตรง สู้กับกลไกที่เผด็จการฝังไว้ในบทเฉพาะกาล 5 ปีแรกของ รธน.60 โดยกำหนดให้ ส.ว.มีสิทธิ์เลือกนายกฯ ด้วยการเซ็น #AdvanceMOU อีก 1 ฉบับ ระบุว่าท่านจะทำงานร่วมกัน ตามฉันทานุมัติของประชาชน ที่มีให้กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย (หรือพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม) ไม่ว่าท่านจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้านร่วมกันก็ตาม” ได้หรือไม่

เนื่องจากการแถลงข่าวยืดเยื้อเกินเวลา ผมจึงบอกว่า “จะตอบทั้ง 8พรรค” หรือ “จะตอบเฉพาะ 2พรรคใหญ่” คือ ก้าวไกล และ เพื่อไทย เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ได้ คุณพิธา ได้กดไมค์ตอบผมทันที ว่าเป็นไปได้ที่จะลงนามใน Advance MOU ร่วมกับในอนาคตอันใกล้ ส่วนคุณหมอชลน่าน ไม่ตอบคำถามผม แต่ได้ตอบคำถาม ที่นักข่าวฝากให้ผมถามให้ ผมจึงได้ย้ำคำถามไปอีกครั้ง ผมก็ได้รับคำตอบจากคุณพิธาคนเดียว ส่วนคุณหมอชลน่าน ไม่ตอบเช่นเดิม

เมื่อถึงจุดนี้ผมพอจะเข้าใจว่า คำถามของผมคุณหมอชลน่านไม่ได้ลืมที่จะตอบ แต่อาจเป็นคำถามที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยอึดอัดที่จะตอบ ผมจึงยุติการตั้งคำถาม หลังจากแถลงข่าวเสร็จ เราก็ไปนั่งทานข้าว และพูดคุยชนแก้วกันอย่างชื่นมื่น โดยที่คุณหมอก็พูดคุยกับผมตามปกติ ไม่ได้มีการคาดคั้น หรือชี้แจง จากทั้งสองฝ่ายแต่อย่างใด

“ผมไม่ทราบว่า หลังจากนั้น คุณหมอโดนใครตำหนิ หรือไปรับบรีฟจากใครมา อยู่ๆวันนี้จึงงัวเงีย ออกมาพูดกับสาธารณชนว่า เป็นการเสียมารยาท และฝากหัวหน้าพรรคฯมาอบรมผม ด้วย โดยในมุมมองผมนั้น ทั้งตามมารยาทที่คุณหมอหยิบยกมาอ้าง และเนื่องจากที่เป็นลูกผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นั้น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราก็ควรจะพูดคุยด้วยอารมณ์และความรู้สึก และ Messages เดียวกัน ไม่ใช่ดื่มกิน ชื่นมื่นกันเป็นชั่วโมง แต่พอวันรุ่งขึ้นกลับตาลปัด มาพูดถึงกันในเชิงลบ ผ่านสื่อมวลชนเช่นนี้”

สำหรับผมการที่พรรคการเมืองจะออกมายืนยัน เพื่อความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าการเสียมารยาทของผมเพียงแค่คนเดียวมากนัก ดังนั้นการที่ผมจะเอาตัวเองเข้าแลก เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เช่นนี้ ผมไม่ได้กังวลต่อคำสบประมาท ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่อย่างใด ถ้าจะให้พูดให้เคลียร์คัท “ผมไม่ได้กลัวการเสียมารยาท มากไปกว่า กลัวการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ” เลย

ส่วนในมุมการรักษามารยาท ที่คุณหมอกำหนดบรรทัดฐานมานั้น เมื่อทราบความอึดอัดของหมอชลน่านเช่นนี้ ผมก็คงไม่ไปถามอะไรถึงเรื่องนี้อีก ในทำนองเดียวกัน หากหลังจากนี้มีประชาชนผู้ลงคะแนน ให้กับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมร่วม 25ล้านคน หรือสื่อมวลชนทั่วไป จะมีใครไปถามหมอแทนประชาชน ถึงจุดยืน Advance MOU นี้อีก

“ผมก็หวังว่า ท่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะรักษามารยาท ด้วยการตอบคำถามต่อพี่น้องประชาชนด้วยครับ”