ภารกิจตั้งรัฐบาลใหม่ บทพิสูจน์แบกความคาดหวังประชาชน

ภารกิจตั้งรัฐบาลใหม่ บทพิสูจน์แบกความคาดหวังประชาชน

หลังจากที่ประชาชนได้หย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งไว้แล้วยังมีภารกิจต้องทำต่อหลังจากนี้ โดยเฉพาะการติดตามดูว่าพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้วหรือไม่ ไม่ว่าจะทำหน้าที่ในฐานะอะไรล้วนแต่อยู่ในความคาดหวังของประชาชนทั้งสิ้น

การเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากนี้ถึงขั้นตอนการตั้งรัฐบาลที่หลายพรรคการเมืองได้หารือรวบรวมเสียงเพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้จัดตั้งเสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบกับการบริหารราชการแผ่นดิน และการได้รัฐบาลใหม่ครั้งนี้จะเข้ามากำหนดนโยบายบริหารประเทศผ่านนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งปัญหาเร่งด่วนและปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะปัญหาด้านปากท้องที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และล่าสุดรับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นในงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 ส่งผลต่อต้นทุนพลังงานของประชาชนและผู้ประกอบการ

ภายหลังการเลือกตั้งจึงมีหลายฝ่ายมีข้อเสนอให้จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว ถึงแม้จะมีการร้องเรียนหลายเรื่องตามมาหลังจากนี้ทั้งการร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือการลงคะแนน รวมถึงการร้องเรียนที่หวังผลทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นคุณสมบัติของคู่แข่งทางการเมือง ซึ่งนักการเมืองหลายคนประกาศว่าแพ้ไม่ได้ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เดิมพันไว้สูง และการพ่ายแพ้ของหลายคนอาจทำให้ต้องเดินออกไปจากสนามการเมือง ปัญหาดังกล่าวอาจมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลที่จะกระทบต่อการขับเคลื่อนนโยบายบริหารประเทศ เหมือนรัฐบาลที่ผ่านมาที่การเป็นรัฐบาลผสมทำให้นโยบายหลายเรื่องไม่สามารถผลักดันได้ 

เมื่อการเลือกตั้งสิ้นสุดลงจะเข้าสู่บทพิสูจน์ของนโยบายที่หาเสียงไว้ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย โดยที่ผ่านมาหลายพรรคการเมืองหาเสียงแบบบ้าระห่ำในการแจกเงินตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ จนต้องมีเสียงเตือนจากหลายฝ่ายถึงผลกระทบของสถานะทางการคลังของประเทศ ซึ่งทำให้หลายพรรคต่างออกมาชี้แจงถึงที่มาของงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการ ซึ่งรัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับบริบททางการคลัง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษี เพราะไทยมีปัญหามีผู้อยู่ในระบบภาษีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น รวมทั้งไม่สามารถจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ได้เพราะจะได้รับเสียงคัดค้านจากทั้งผู้มีอันจะกินและผู้อยู่ระดับฐานราก

โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่จึงอยู่ที่การกำหนดนโยบายบริหารประเทศอย่างไรเพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ไม่สามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพ รวมถึงการอยู่ในสังคมโลกที่ต้องเข้าใจบริบทภูมิรัฐศาตร์ ซึ่งเป็นปัญหาในอีกซีกโลกแต่เข้ามากระทบไทยได้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นของการพัฒนาระยะยาวที่ต้องผลักดันให้ประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยที่ผ่านมาประเทศไทยกำหนดเป้าหมายระยะยาว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จึงทำให้ไม่รู้ได้ว่าทิศทางของประเทศในอีก 10-20 ปี ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

หลังจากนี้คงต้องติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยหลังจากที่ประชาชนได้หย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งไว้แล้วยังมีภารกิจต้องทำต่อหลังจากนี้ โดยเฉพาะการติดตามดูว่าพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้วหรือไม่ ทั้งในบทบาทหน้าที่ของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รวมถึงการทำหน้าที่ในฐานะการเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะทำหน้าที่ในฐานะอะไรล้วนแต่อยู่ในความคาดหวังของประชาชนทั้งสิ้น ภารกิจของรัฐบาลใหม่จึงมีอีกมากมายและอาจไม่มีเวลาที่จะเรียนรู้งานหรือดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ และนักการเมืองทุกคนต้องระลึกว่ากำลังแบกความคาดหวังของประชาชนไว้