ร้อง กกต.สอบ “ไตรรงค์” ปราศรัยพาดพิงสถาบันฯ เข้าข่ายผิดระเบียบหาเสียง

ร้อง กกต.สอบ “ไตรรงค์” ปราศรัยพาดพิงสถาบันฯ เข้าข่ายผิดระเบียบหาเสียง

“ศรีสุวรรณ” ออกโรงร้อง กกต.สอบ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” แกนนำ “รวมไทยสร้างชาติ” อ้างปราศรัยเลือกตั้ง 66 พาดพิง “สถาบันฯ” ชี้เข้าข่ายผิดระเบียบหาเสียงฯ

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต.เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัย นายไตรงค์ สุวรรณคีรี แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงที่ จ.นครราชสีมา โดยนำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ โดยสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา พรรค รทสช. เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่สนามหน้าศาลากลาง จ.นครราชสีมา โดยมีประชาชนมารับฟังการปราศรัยของแกนนำพรรค ผู้บริหารพรรค และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค รทสช.

อย่างไรก็ดีในช่วงหนึ่งของการปราศรัยต่อหน้าประชาชนที่มาร่วมฟังปราศรัยนับหมื่น และมีการถ่ายทอดทางโซเชียลมีเดียและสื่อมวลชนต่าง ๆ ด้วยนั้น นายไตรรงค์ได้ขึ้นปราศรัยความตอนหนึ่งในช่วงสุดท้ายว่า “พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่าความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณสมบัติของคนดี พวกเราเป็นคนดีใช่ไหมพี่น้อง เราต้องไม่ลืมบุญคุณบรรพบุรุษใช่ไหมพี่น้อง ต้องรักษาประเทศนี้เอาไว้ให้อยู่ให้ดีที่สุด ใช่ไหมครับพี่น้อง ร.9 ตรัสเอาไว้ว่าจงเลือกคนดีปกครองประเทศเท่านั้น ผมเองไม่เล่นแล้วการเมือง แต่ผมมาช่วยบิ๊กตู่ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดี ผมดูแล้วหัวหน้าพรรคทั้งหลายเนี่ยไม่มีใครดีเหนือกว่าบิ๊กตู่หรอก ถ้าเราอยากได้รัฐบาลที่ดีตามที่ ร.9 ทรงประสงค์นั้นให้เลือกพรรค…รวมไทยสร้างชาติ”

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า คำปราศรัยดังกล่าวอาจถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อ 17 ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียง และลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 หรือไม่ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่า “ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง” ประกอบกับ ม.73 (5) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 ห้ามมิให้ผู้สมัคร หรือผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่นด้วยวิธีการจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง

ทั้งนี้ หาก กกต.วินิจฉัยว่าเป็นการฝ่าฝืนจริงก็อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 159 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปีอีกด้วย