“ปิยบุตร” ชำแหละ “ก้าวไกล” กระแสตก ชี้ “พิธา” ต้องอุทิศตัวเท่า “ธนาธร”

“ปิยบุตร” ชำแหละ “ก้าวไกล” กระแสตก ชี้ “พิธา” ต้องอุทิศตัวเท่า “ธนาธร”

“ปิยบุตร” วิเคราะห์ลึก! ต้องทำอย่างไรให้คะแนนนิยม “ก้าวไกล” กระเตื้องขึ้น หลังกระแสหยุดนิ่งมานานหลายเดือน ชี้ต้องเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 25 ที่แรกให้โดดเด่น “พิธา” ต้องอุทิศตนให้เท่า “ธนาธร” แบบเลือกตั้งปี 62

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 3 ม.ค. 2566 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิเคราะห์ถึงพรรคก้าวไกลต้องทำอย่างไรกับคะแนนนิยมที่หยุดนิ่ง (ตอนที่ 1) โดยระบุว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน หรือ “โพล” ของหลายสำนัก พบว่า คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกล และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อยู่ที่ประมาณร้อยละ 13-15 อาจมีบวกลบอีกร้อยละ 1 โดยที่คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลสูงกว่าพิธาอยู่ประมาณร้อยละ 2-3 คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลและพิธาหยุดนิ่งเท่านี้มานานหลายเดือน จนเกือบครบปีแล้ว เกจิอาจารย์กูรูทางการเมืองวิเคราะห์กันว่า คงไม่ได้ไปมากกว่านี้ คงหยุดอยู่เท่านี้ หรืออาจถดถอยลงกว่านี้อีกเล็กน้อย เว้นเสียแต่มีเหตุการณ์แบบ “ธนาธรฟีเวอร์” เหมือนช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 

การเลือกตั้งในปี 2562 มีเหตุการณ์สำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ 3 เหตุการณ์ ที่ทำให้คะแนนเสียงของพรรคอนาคตใหม่ทะยานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

เหตุการณ์แรก ปรากฏการณ์ “ฟ้ารักพ่อ” จาก online สู่ onground ระเบิดพลังออกมา คนรุ่นใหม่จำนวนมากแสดงออกถึงความนิยมที่มีต่อตัวธนาธร จุดระเบิดครั้งแรก คือ งานฟุตบอลประเพณี มธ - จุฬาฯ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นก็ลุกกระพือเป็น “ไฟลามทุ่ง” 

เหตุการณ์ที่สอง การดีเบตของธนาธรในช่องไทยรัฐ ทีวี ธนาธรทำได้ดีมาก สดชื่น สดใหม่ ชัดเจน เด่นกว่าตัวแทนจากพรรคอื่นๆ จนผู้ชมสนใจ ตามไปค้นคว้า ทำความรู้จัก และตัดสินใจเลือก

เหตุการณ์ที่สาม วันที่ 8 ก.พ. กรณีพรรคไทยรักษาชาติ เสนอทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ครั้งนั้น ผมถูกตามตัวกลับจากการรณรงค์หาเสียงที่แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ โดยทันที โดยยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจที่นั่น เพื่อรับหน้าที่แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน แสดงจุดยืนของพรรคอนาคตใหม่ต่อกรณีนี้ 

สามเหตุการณ์นี้ บวกกับ ความสดใหม่ ความชัดเจน บุคลิก และพลังงานอันล้นเหลือของธนาธร ทำให้เกิดกระแส “ธนาธรฟีเวอร์” ไปทั่วประเทศ 

“ผมเชื่อว่า ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลจะไม่มีและไม่สามารถจะมีกระแสแบบ “ธนาธรฟีเวอร์” อีกแล้ว ประกอบกับ ระบบเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถนำคะแนนร้อยละ มาคำนวณเป็นที่นั่ง ส.ส.ได้อย่างแน่นอนเป๊ะๆแบบปี 62 ดังนั้น คะแนนนิยมจากสำรวจที่หยุดนิ่งที่ร้อยละ 13-15 จะกลายเป็น ส.ส.เท่าไร พรรคก้าวไกลจะทำอย่างไรให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นไปอีก ไปแตะร้อยละ 20 25” นายปิยบุตร ระบุ

ผมมีข้อเสนอ 10 ประการ ดังนี้ 

  • ประการแรก คัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 25 คนแรก ให้ดี เด่น โดน มากที่สุด 

โดยเฉพาะ 10-15 คนแรก ต้องสามารถอวดประชาชนได้ และโดดเด่นกว่าผู้สมัครบัญชีรายชื่อของพรรคอื่น (ซึ่งส่วนใหญ่ คือ ผู้อาวุโสพรรคและผู้สนับสนุนทางการเงินแก่พรรค) 

สังคมอาจคาดเดารายชื่อผู้สมัคร 10-15 คนแรก ของพรรคอื่นๆได้ แต่กับพรรคก้าวไกล คนคาดเดาได้ยาก เพราะ ที่นี่ ผู้สมัครไม่ต้องเป็นหัวหน้ามุ้ง ไม่ต้องเป็นผู้หาเงินให้พรรค เมื่อพรรคก้าวไกลวางตำแหน่งแห่งที่และเฉดการเมืองต่างจากพรรคอื่นๆ สังคมก็ย่อมคาดหวังสูงกว่าพรรคอื่นๆว่า เปิดรายชื่อมาแล้วต้อง “ปัง” ชนิดที่ร้อง “ว้าว” สามารถบอกได้เลย ใครรับผิดชอบนโยบายใด ใครพร้อมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใด 

หากเปิดรายชื่อออกมาไม่โดน นอกจากไม่ได้คะแนนนิยมเพิ่ม เผลอๆคะแนนนิยมจะลดลงด้วย โดยเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้พรรคก้าวไกล ที่ลงคะแนน สส เขตให้พรรคอื่น แต่ตั้งใจจะแบ่งมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล ถึงเวลาอาจไม่ลงให้ก็ได้ หากรายชื่อไม่ปัง

พรรคก้าวไกลควรใช้จุดแข็งของพรรคที่ไม่มีธรรมเนียม “ปู่โสมเฝ้าบัญชีรายชื่อ 15 คนแรก” เหมือนพรรคอื่นๆ ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการเปิดพื้นที่เหล่านี้ให้คนใหม่ คนนอก คนมีชื่อเสียงโดดเด่นในวงการต่างๆ คนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในประเด็น นโยบายต่างๆ คนที่พร้อมเข้าบริหารประเทศ แสดงชุดรัฐมนตรีของพรรค การเปิดให้มีคนใหม่ๆเข้ามาจะช่วยขยายเพิ่มคะแนนนิยมของตนออกไปสู่กลุ่มใหม่ๆ ออกไปจากกลุ่มก้อนร้อยละ 13-15 ที่มีอยู่แล้ว 

  • ประการที่สอง คัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้จบโดยเร็ว 

ดังที่ผมกล่าวไปในตอนก่อนว่า การคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จะเป็นประเด็นปัญหาภายในพรรคที่นำมาซึ่งชนวนขัดแย้งได้ คนเก่าอยากเป็น ส.ส.ต่อ พรรคต้องหาคนใหม่ เพื่อสร้างคะแนนนิยมเพิ่ม ในขณะที่ระบบเลือกตั้งเปลี่ยน ได้ สส บัญชีรายชื่อ 25 ที่ ก็ยากมากแล้ว

นี่คือสภาพอิหลักอิเหลื่อที่ผู้นำพรรคต้องเผชิญอยู่ จะเอาใครออก ก็ไม่กล้า จะเอาแต่คนเดิม ก็ไม่ได้ จะปล่อยๆไว้แบบนี้ ก็คาราคาซัง เกิดความไม่มั่นใจกันเอง เกิดการเล่นการเมืองภายในกันเอง ผมเห็นว่า ผู้นำพรรคต้องกล้า Set Zero ลำดับบัญชีรายชื่อปี 62 แล้วคัดคนใหม่ ทาบทามคนใหม่มาให้มากขึ้น พร้อมกับคัดคนเดิมที่แสดงผลงานได้โดดเด่น 

อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาสภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ของผู้นำพรรค ผมเห็นว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อปัจจุบัน ที่ประเมินอย่างภาววิสัย ไม่เข้าข้างตนเอง แล้วว่า ตนเองไม่น่าจะอยู่ในลำดับ 25 หรือ 30 คนแรก ก็ควรคุยเปิดอกกับผู้นำพรรคไปเลย ขออาสาไปลงแบบแบ่งเขต หรือไม่ก็ยืนยันว่าพร้อมที่จะอยู่ลำดับที่ต่ำกว่า 25-30 ก็ได้ 

ส.ส.ปัจจุบันต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง ครั้งหน้า พรรคก้าวไกล คงได้บัญชีรายชื่อ ไม่เกิน 25 หรือไปให้สุดๆคงไม่เกิน 30 ในขณะที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อปัจจุบัน มีอยู่กว่า 40 คน แล้วพรรคก็จำเป็นต้องหาคนใหม่ๆเข้ามาเติมเพื่อคะแนนนิยมของพรรคในภาพรวม ด้งนั้น จึงไม่มีทางที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลในปัจจุบันทุกคน จะได้กลับมาเป็น ส.ส.อีกครบทุกคน ในปี 2566 (ย้ำตรงนี้ ขีดเส้นใต้ร้อยเส้น พร้อมเอาปากกามาวง) ดังนั้น รอบนี้ จะมีคนได้ คนเสีย คนดีใจ คนเสียใจ อยู่แล้ว

หาก ส.ส.บัญชีรายชื่อปัจจุบัน ทุกคน ยืนยันว่า จะลงต่อที่เดิม โดยไล่ลำดับขึ้นไปแทนลำดับของพวกที่ถูกตัดสิทธิหรือลาออกหรือย้ายพรรค ถ้าคิดกันแบบนี้ พรรคก้าวไกล ก็คงถึงทางตัน ไม่รู้ว่าจะเอาคะแนนนิยมเพิ่มเติมมาจากไหน และพรรคจะได้คนหน้าใหม่มาเสริมทัพเพื่อทำงานฝ่ายบริหารได้อย่างไร 

ถ้าทุกคนคิดกันแบบนี้ เรื่องแค่นี้ เคลียร์กันไม่ได้ การป่าวประกาศว่า ตนเองเป็นการเมืองแบบใหม่ ตนเองเป็น ส.ส.เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลง ก็คงเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่เป็นจริง ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ควรจัดการให้จบเป็นการภายใน (ยังไม่ต้องประกาศสาธารณะก็ได้) เพื่อให้พรรคและผู้สมัครทุกคนนิ่ง และมีสมาธิในการต่อสู้กับการเลือกตั้ง ไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง เอาสรรพกำลังที่มี ไปต่อสู้กับการเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง 

  • ประการที่สาม ประกาศผู้สมัคร ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง ให้จบโดยเร็ว 

ผู้สมัคร ส.ส. เขต คือ “นักรบ” ภาคสนาม ที่กระจายไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พวกเขา คือ คนที่นำเอานโยบายหาเสียงของพรรคที่เป็นตัวอักษร กระดาษ อินโฟกราฟิค วิชาการ ไปทำให้ง่าย รูปธรรม และสื่อตรงถึงประชาชนในทุกพื้นที่ เสมือนเป็น นักบวช มิชชันนารี เผยแพร่ลัทธิคำสอน 

พวกเขา คือ คนที่จะทำให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้เข้าถึงใกล้ชิดกับพรรคก้าวไกลมากขึ้น โดยมีพวกเขาเป็น “ทูต” ดังนั้น การมีผู้สมัครแบบเขตครบเร็วเท่าไร ประกาศรับรองให้จบเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งมี “นักรบ/นักบวช/ทูต” ที่รับภารกิจนี้เร็วขึ้นเท่านั้น 

  • ประการที่สี่ พิธา ต้องอุทิศตน แรงกาย แรงใจ ในการเดินสายทั่วประเทศ เหมือนธนาธรตอนปี 62 

ผลสำรวจคะแนนนิยมทุกครั้ง พบว่า พรรคก้าวไกลมีมากกว่าพิธา อยู่ร้อยละ 2-3 ในขณะที่เสียงสะท้อนจากพื้นที่ ที่ผมได้ยินมา คือ ประชาชนรู้จักพรรคก้าวไกล ประชาชนรู้จักธนาธร แต่ในบางพื้นที่ ประชาชนยังไม่รู้จักมักคุ้นกับพิธา 

พิธา โดดเด่น และเป็นที่ยอมรับ ในกลุ่มคนเมืองหลวง คนในเขตเมือง (เขต 1 ในจังหวัดต่างๆ) คนชั้นกลาง คนชั้นกลางระดับบน คนทำงานออฟฟิศ เยาวชนคนรุ่นใหม่ คนเล่นโซเชียล แต่ในเขตพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป พื้นที่อื่น กลุ่มอื่น ชื่อของพิธา ยังไปไม่ถึง 

ในขณะที่ชื่อของธนาธร ณ เวลานี้ ค่อนข้างแน่ใจว่า คนรู้จักทั่วประเทศ ทุกพื้นที่ ทุกกลุ่ม (ซึ่งมีทั้งคนชอบ คนเชียร์ คนแช่ง คนชัง) ผู้สมัครหลายคนเคยบอกผมว่า คนจำนวนมาก เห็นชื่อพรรคก้าวไกล สัญลักษณ์สามเหลี่ยม สีส้ม ก็จะร้องทักว่า พรรคธนาธร ส่วนคนที่ไม่ได้ติดตามมากนัก ผู้สมัคร ส.ส.หลายคน ก็ใช้วิธีเท้าความไปถึงพรรคอนาคตใหม่ที่มีธนาธรเป็นหัวหน้าพรรค ก็จะร้องอ๋อ เข้าใจทันที

วิธีการที่จะทำให้ชื่อพิธาไปได้ไกล ไปได้ทั่ว มีอยู่ทางเดียว คือ พิธา ต้องเข้าหา เข้าถึงประชาชน ทั่วประเทศ ขยายฐานความรับรู้ของคนออกไปจากกลุ่มร้อยละ 13-15 ออกไปจากกลุ่มคนที่รู้จักนิยมพิธาอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มคนที่พิธายังไปไม่ถึง น่าจะเป็นคนในเขตพื้นที่ไกลออกไป คนที่ไม่เล่นโซเชียล 

สมัยพรรคอนาคตใหม่ ในการหาเสียงเลือกตั้ง ปี 62 ธนาธร เป็นหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เดินทางไป 75 จังหวัด (ขาดไป 2 จังหวัด เพราะ ตารางเวลาแน่นมาก) และเดินทางไปพื้นที่เขตเลือกตั้งกว่า 200 เขต (บางจังหวัด ไปครบทุกเขต) ได้ในเวลา 2 เดือน 

ตอนนี้ เหลืออีก 4 เดือน เหลืออีก 120 วันก่อนวันเลือกตั้ง พิธา ต้องไปทุกพื้นที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ได้ไม่เท่าธนาธร ก็ขอเกือบๆเท่า ก็ยังดี 

การเดินสายไปทั่วทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ ทั่วประเทศนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาชนรู้จักเข้าถึงพิธา ทำให้คะแนนนิยมของพรรคและพิธาเพิ่มขึ้นแล้ว ยังสร้างภาวะผู้นำของพิธาให้เกิดแก่สมาชิกพรรรคและผู้สมัคร ส.ส.ด้วย อย่างน้อยๆ เหล่า “นักรบ นักบวช ทูต” ของพรรคทั่วประเทศที่ทำงานอย่างหนักและขยันขันแข็ง จะได้มีกำลังใจว่า ในยามที่เขาลงสนามอยู่นั้น แม่ทัพออกมานำทัพเอง แม่ทัพไม่ทิ้งพวกเขา แม่ทัพมาอยู่เคียงข้างพวกเขา 

นอกจากการเดินทางไปทั่วประเทศแล้ว เวทีดีเบต เวทีแสดงวิสัยทัศน์ การออกสื่อ ก็สำคัญ เพราะ ออกทีเดียว ใช้เวลาไม่นาน แต่กระแสยิงไกลไปได้ทั่วประเทศ 

เมื่อปี 2562 คะแนนพรรคอนาคตใหม่จำนวนมาก มาจากการดีเบตของธนาธร ครั้งนี้ ผมเชื่อว่าพิธา จะทำหน้าที่นี้ได้ดีไม่แพ้กัน 

  • ประการที่ห้า สร้างทีมรณรงค์หาเสียง

จากการสังเกตจากวงนอกเข้าไป ผมพบว่า คนที่รับหน้าที่เดินสายไปทั่วประเทศมีอยู่ไม่กี่คน เช่น พี่เจี๊ยบ อมรัตน์ โชคปมิตกุล, เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ, รังสิมันต์ โรม, ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ์ เป็นต้น จำนวนเพียงเท่านี่ ย่อมไม่เพียงพอ พรรคก้าวไกลควรกำหนด “ขุนพล” นักปราศรัยของส่วนกลาง ที่พร้อมเดินทางไปทั่วประเทศ แบ่งเป็น 2-3 ชุด ชุดละ 4-5 คน โดยมีตัวหลักที่ต้องอยู่ทุกชุด 

ผมเห็นว่าพรรคควรตามวิโรจน์ ลักขณาอดิศร กลับมารับหน้าที่ “ขุนพลปราศรัยหลัก” อย่างเต็มตัว คุยกับเขาให้ชัดว่า พรรคต้องการให้เขากลับมาเข้าสภาอีก หลังจากที่เขาเสียสละลาออกจาก ส.ส.ไปลงผู้ว่าฯ กทม ให้ รับประกันลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อให้แก่เขา วางแผนว่า รอบหน้าเขาจะรับบทบาทอะไร ( เช่น เป็นแม่ทัพในสภา พร้อมกับตระเตรียมลงผู้ว่าฯ กทม.รอบถัดไป เป็นต้น) แล้วก็มอบภารกิจให้เขาเป็น “ขุนพลปราศรัยหลัก” ทั่วประเทศ (คล้ายๆกับที่พรรคเพื่อไทยมี พี่เต้น ณัฐวุฒิใสยเกื้อ) 

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลต้องหาผู้ปราศรัยคนอีสาน คนเหนือ คนใต้ ด้วย เพื่อเข้าถึงประชาชนได้ง่าย ลองพิจารณาจาก ส.ส.ที่มีอยู่ปัจจุบัน และ ผู้สมัคร ส.ส.หน้าใหม่ ผมคิดว่าน่าจะหาได้ไม่ยากนัก 

ในส่วนของผู้สมัคร ส.ส.ที่รับหน้าที่ดีเบต ออกสื่อ พรรคต้องกำหนดลงไปให้ชัดเจน ทั้งรายประเด็น ทั้งการประกบคู่แข่ง จัดเป็นกลุ่มไว้ ประเด็นนี้ ส่งใครไป หากพรรคอื่นส่งคนนี้มา เราจะส่งใครไป เป็นต้น การกำหนดเช่นนี้ ต้องถือปฏิบัติร่วมกันทุกคน ห้ามผู้สมัคร ส.ส.หรือ ส.ส.รับเองตามใจตนเอง เว้นแต่ บางกรณี เป็นการดีเบตในเขตเลือกตั้ง หรือเป็นประเด็นเฉพาะจริงๆ

ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จำเป็นต้องมีหน่วยรับผิดชอบแบบอำนาจเต็ม เบ็ดเสร็จ  พรรคก้าวไกลต้องรีบตั้งหน่วยนี้ขึ้นมา มีอำนาจตัดสินใจเต็มที่ เด็ดขาด พร้อมรับผิดและรับชอบ หากเกิดกรณีสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารตัดสินใจได้ทันท่วงที 

หน่วยนี้ ทำหน้าที่ตั้งแต่ออกแบบแคมเปญเลือกตั้ง กำหนดทิศทางการสื่อสารทั้งออนไลน์และภาคสนาม กำหนด key message ที่จะใช้ บรีฟประเด็นให้แกนนำไปดีเบต กำหนดตารางการเดินสายทั่วประเทศ กำหนดตัวคนรณรงค์หาเสียง กำหนดประเด็นตอบโต้ชี้แจงรายวัน ด้วยภารกิจเช่นนี้ และด้วยต้องมีอำนาจเต็ม ต้องมีคน “เคาะ” ให้จบ (ไม่ใช่ปล่อยโยนกันไปมา พนักงานรุ่นกลาง รุ่นจูเนียร์ ก็ไม่กล้า “เคาะ”) ผมเห็นว่าพรรคควรให้เลขาธิการพรรค ชัยธวัช ตุลาธน นั่งหัวโต๊ะ ในหน่วยนี้ และด้วยภารกิจที่ต้องรับผิดชอบภาพรวมทั่วประเทศ คนในหน่วยนี้ทุกคน ต้องประจำที่ส่วนกลาง ที่สำนักงาน ไม่ต้องเดินสายหาเสียงทั่วประเทศ

อีกห้าประการที่เหลือ ได้แก่

ประการที่หก เร่งเปิดนโยบายให้ครบ และทำรูปแบบการสื่อสารนโยบายให้หลากหลายเข้าถึงทุกกลุ่ม 

ประการที่เจ็ด ปลุกระดม ปลุกใจ คนทำงาน ให้กลับมาพร้อมต่อสู้ได้เท่ากับสมัยอนาคตใหม่ 

ประการที่แปด สร้างระเบียบวินัย ข้อกำหนด ให้ผู้สมัคร ส.ส.ปฏิบัติในช่วงหาเสียง 

ประการที่เก้า เปลี่ยนภาพลักษณ์ “เด็กหัวร้อน” ให้เป็น “คนรุ่นใหม่ ทำงานเป็น” 

ประการที่สิบ ออกจาก comfort zone หรือ echo chamber ของตนเอง 

ขอไปต่อตอนที่ 2 ตอนหน้าครับ