เบื้องลึกดราม่า “สุรนันทน์-นิพิฏฐ์” อลหม่านหลังบ้าน“สร้างอนาคตไทย”

เหตุผลหลักมาจากการที่บทสรุปของการรวมพรรคไทยสร้างไทยเข้ากับพรรคสร้างอนาคตไทย ต้องไม่มี “สุรนันทน์” อยู่ในสมการด้วย จึงน่าจับตาว่า จะไปต่อกับ “สมคิด"และพรรคใหม่หลังการควบรวมหรือไม่
เมื่อการเมืองเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ทำให้ “นักเลือกตั้ง” ต้องตัดสินใจอนาคตทางการเมืองของตัวเอง หลายคนยึดมั่นในดีลเดิม เลือกอยู่สังกัดพรรคเดิม แม้คะแนนนิยมของพรรคจะไม่สู้ดีก็ตาม “บางคน” ขอล่มดีล แยกทางกันเดินกับพรรคเดิม เพื่อแสวงหาโอกาสที่จะทำให้ได้นั่งเก้าอี้ ส.ส. เนื่องจากอาชีพนักการเมือง หากไม่ได้นั่งเก้าอี้ ส.ส.ก็แทบไม่มีอำนาจต่อรอง
ยิ่งหลังการเลือกตั้งปี 2562 มี “นักเลือกตั้ง” รุ่นเก่าสอบตกจำนวนมาก ทำให้หลายคนต้องระหกระเหินหาบ้านใหม่เข้าสังกัด เพราะพรรคเดิมวางขุมกำลังใหม่จนเบียดพื้นที่กันอย่างดุเดือด จึงเกิดปรากฏการณ์ “บิ๊ก ส.ส.” หารังใหม่เข้าสังกัด
เช่นเดียวกับ "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) เก็บตัวเงียบมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2557 โดยขณะนั้นนั่งเก้าอี้เลขาธิการนายกรัฐมนตรี (รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ส่วนช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ไม่ได้เข้าสังกัดพรรคการเมืองใด
แต่เมื่อ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขยับตั้งพรรค สอท. “สุรนันทน์” จึงตัดสินใจกระโดดลงสนามการเมืองอีกครั้ง ท่ามกลางความหวังจะคัมแบ็คสานฝัน “สมคิด” ให้ก้าวถึงฝั่งฝัน นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ช่วงแรก “สุรนันทน์” ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค สอท. เข้ามาบริการจัดการงานด้านการประชาสัมพันธ์ จากนั้นได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ กทม. มีอำนาจคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.
ทว่า เมื่อลงมือทำ กลับมีความแย้งขึ้นภายในพรรค สอท.เมื่อเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่าง “สุรนันทน์” ที่ไม่พอใจการบริหารงานพรรคของ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์”เลขาธิการพรรค เรื่องการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. รวมถึงความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในการขับเคลื่อนพรรคในหลายเรื่อง
ทั้ง “สนธิรัตน์-สุรนันทน์” ต่างก็มี “สมคิด” เป็นที่พึ่งทางใจคนเดียวกัน เมื่อเกิดปัญหาต่างก็ต้อง “ฟ้องนาย” โดยมีวิธีการแตกต่างกัน “คนหนึ่ง” ไม่ขายเพื่อน แต่ “คนหนึ่ง” ขายทั้งเพื่อน ขายทั้งนาย
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งของ “สุรนันทน์” ที่เกิดขึ้นภายในพรรค สอท. ไม่ได้มีเพียง “สนธิรัตน์” ที่เป็นคู่กรณี ระยะหลังเริ่มมี “บิ๊กเนม” หลายคน ออกมาส่งสัญญาณไม่พอใจการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เช่นกัน
ในช่วงการพูดคุยเรื่องควบรวมพรรคสร้างอนาคตไทย กกับพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ของ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปรากฎว่า “สุรนันทน์” ได้เข้าไปมีบทบาทด้วย โดยการพูดคุยในช่วงแรกยังมี “สุรนันทน์” ปรากฏตัวอยู่ในวงเจรจา แต่ในระยะหลัง กลับถูกกันออกนอกวง
เหตุผลหลักมาจากแนวคิดของ “สุรนันทน์”ไม่ลงล็อกกับตัวแทนของพรรคไทยสร้างไทย ทั้ง “สุดารัตน์” และ “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย โดยมีกระแสว่า หากยังมี “สุรนันทน์" อยู่ในวงเจรจา การรวมพรรคสร้างอนาคตไทย-ไทยสร้างไทย คงไม่ได้เกิดขึ้น
กระทั่งต่อมา เมื่อวันที่ 30 พ.ย. “สุรนันทน์” โพสต์ข้อความส่งสัญญาณทางการเมือง พร้อมภาพ “ตี๋น้อย” สุนัขที่เลี้ยงไว้ ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมระบุข้อความว่า “The boss...and I #ตี๋น้อย เป็นคนรับใช้หมาดีกว่าทำงานให้นักการเมืองห่วยๆ”
ว่ากันว่า เหตุผลหลักมาจากการที่บทสรุปของการรวมพรรคไม่มี “สุรนันทน์” อยู่ในสมการด้วย จึงน่าจับตาว่า จะไปต่อกับ “สมคิด"และพรรคใหม่หลังการควบรวมหรือไม่
ด้าน “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และประธานภาคใต้ เป็นอีกราย ที่มีกระแสข่าวออกมาว่าจะทิ้งพรรคนี้ไปอีกราย โดยมีหมุดหมายอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทั้งที่ “นิพิฏฐ์” ถูกวางตัวให้เป็นขุนพลภาคใต้ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดพัทลุงไปแล้วด้วยซ้ำ
กรณี “นิพิฏฐ์”ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่เป็นเรื่องความจำเป็นที่ต้องเอาตัวรอด เพราะหากพรรค สอท. ควบรวมกับพรรค ทสท. โดยมีภาพ การร่วมงานกับ “อดีตขุนพลเพื่อไทย” ซึ่งอาจส่งผลให้คะแนนในพื้นที่จังหวัดพัทลุง อาจดิ่งจนติดลบได้
ในสมรภูมิภาคใต้ “นิพิฏฐ์” เองก็ไม่สามารถกลับเข้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีตระกูลธรรมเพชร เป็นหลักอยู่แล้ว ด้านพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ก็คือคู่แข่ง-คู่แค้น
ดังนั้นทางเลือกเดียวของ “นิพิฏฐ์” คือพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค ที่แม้คะแนนนิยมพรรคจะไม่ค่อยดี แต่“นิพิฏฐ์”เอง ก็ยังมั่นกระแสการเมืองในพื้นที่ของตัวเอง
เมื่อคีย์แมนสำคัญของพรรคสร้างอนาคตไทย ทั้ง “สุรนันท์-นิพิฏฐ์”ต่างก็เผชิญปัญหาที่ต่างกัน จึงต่างรอวันแยกทาง เพื่อไปตั้งหลัก เริ่มต้นเส้นทางการเมืองของตัวเองอีกครั้ง







