“ก้าวไกล” ได้ทีซัดปม “พันเอก” เมากร่าง สะท้อนกองทัพย่ำแย่ ต้องปฏิรูป

“ก้าวไกล” ได้ทีซัดปม “พันเอก” เมากร่าง สะท้อนกองทัพย่ำแย่ ต้องปฏิรูป

“ธนเดช ก้าวไกล” ชี้เหตุ “พันเอก” เมากร่าง สะท้อนระบบกองทัพย่ำแย่ ใช้อำนาจข่มกันเอง-ข่มประชาชน อัดเป็น “แดนสนธยา” ตรวจสอบไม่ได้ ลั่นต้องปฏิรูป เอาทหารออกจากการเมือง ไม่ทำตัวเหนือกฎหมาย

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2565 ว่าที่ ร.ท.ธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตลาดพร้าว-วังทองหลาง พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายทหารยศพันเอกมีอาการมึนเมาและข่มขู่คุกคามบุคคลอื่นกลางร้านอาหาร ว่า เป็นอีกครั้งที่คนในวงการคนมีสี ก่อเหตุความรุนแรง แม้เรื่องที่เกิดขึ้น โฆษกกองทัพบกจะออกมาบอกกับสังคมเหมือนทุกกรณีที่ผ่านมาว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับกองทัพ แต่ในฐานะทหารเก่าคนหนึ่ง ตนขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกองทัพโดยตรง 

ว่าที่ ร.ท.ธนเดช กล่าวว่า แน่นอนว่ากองทัพไม่สามารถควบคุมกำลังพลทุกคนให้ไม่ออกนอกลู่นอกทางได้ ไม่มีกองทัพที่ไหนบนโลกที่ทำแบบนั้นได้ แต่ในประเทศที่กองทัพมีความเป็นมืออาชีพจริงๆ  เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะทหารก็เหมือนกับข้าราชการคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอิทธิพลหรืออำนาจเหนือกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจทางการเมือง ถ้าสังเกตให้ดีๆ ยุคที่รัฐบาลพลเรือนเป็นใหญ่ บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย เหตุการณ์ลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นในอัตราความถี่ที่น้อยกว่ามาก แต่ตั้งแต่ยุค คสช. รัฐประหารเมื่อปี 2557 เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลสืบทอดอำนาจในปัจจุบัน เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแทบไม่เว้นเดือน ทั้งประเภทที่คนในกองทัพกระทำกันเอง และคนในกองทัพกระทำต่อสังคมภายนอก

“เมื่อเกิดเหตุแล้ว สิ่งที่เหมือนกันจนแทบจะเป็นพล็อตเรื่องเดียวกัน คือผู้ก่อเหตุให้เหตุผลว่าถูกกดดันและทำลายชีวิตราชการ นี่ไม่ใช่คำตอบที่จำกันมา แต่มันคือต้นตอที่ไม่สามารถมองข้ามได้จริงๆ สังคมที่ดำเนินไปโดยระบอบชนชั้น ใครใหญ่กว่ามีอำนาจ ใครตัวเล็กก็ต้องรับสภาพถูกข่มเหงกันเป็นทอดๆ เมื่อเกิดความเครียดเกิดความกดดันก็นำพาไปสู่เหตุร้ายต่างๆ ที่เราเห็น อีกด้านหนึ่ง ในเมื่อบ้านเมืองที่กองทัพ ‘รันทุกวงการ’ ทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางกฎหมาย เราก็จะได้เห็นทหารกร่างเต็มบ้านเต็มเมืองอาละวาดใส่ชาวบ้านเขาไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง” ว่าที่ ร.ท.ธนเดช กล่าว

ว่าที่ ร.ท.ธนเดช กล่าวอีกว่า ระบบแบบปัจจุบัน ได้สร้างแดนสนธยาขึ้นในกองทัพ พอมีอำนาจทางการเมืองเต็มรูปแบบ กำลังพลก็ทำตัวเป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับรัฐบาลพลเรือน แต่งตั้งโยกย้ายกันเอง มีเรื่องมีราวก็เคลียร์กันเอง ธำรงวินัยกันเอง เมื่อเป็นแบบนี้ ใครเงินหนา อิทธิพลกว้างขวางกว่าหรือเส้นใหญ่กว่า ก็ได้ขึ้นปกครองกำลังพลได้ไต่เต้าเหนือกำลังพลดีๆ เมื่อนายทหารหลายคนมาด้วยอิทธิพลและอำนาจเส้นสาย ก็ย่อมใช้อิทธิพลและอำนาจเส้นสายกับทุกเรื่อง ไม้เว้นแม้แต่ในเรื่องส่วนตัว มีปัญหาขึ้นมาก็ทะเลาะวิวาทไว้ก่อนแล้วค่อยมาจัดการทีหลัง ดังนั้น จะบอกว่ากองทัพไม่เกี่ยว เป็นเรื่องส่วนบุคคลได้อย่างไร เพราะระบบที่เป็นอยู่บ่มเพาะทหารกร่างแบบนี้ขึ้นมาในสังคม เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจด้วยวิธีการเหนือกฎหมาย ใช้อำนาจเหนือกฎหมายบังคับแต่กับประชาชน แต่ยกเว้นพวกเดียวกันเองไว้ สร้างแดนสนธยาขึ้นมาในกองทัพโดยไม่มีใครมาตรวจสอบถ่วงดุลได้ ทั้งหมดนี้กองทัพมีส่วนสำคัญทำให้เกิดขึ้นมา

“การปฏิรูปกองทัพตามที่พรรคก้าวไกลเสนอ รวมถึงการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น ที่จะยุติวงจรทหารกร่างเต็มบ้านเต็มเมืองแบบนี้ให้เหลือน้อยที่สุดในสังคมไทย ทหารต้องออกจากการเมือง ออกจากศูนย์กลางอำนาจ ต้องไม่มีสิทธิพิเศษเหนือกฎหมาย ไม่มีอำนาจพิเศษช่วยเหลือ เป็นเพียงหน่วยงานรัฐบาลที่มีหน้าที่ป้องกันประเทศจากอริราชศัตรูภายนอก ไม่มีอิทธิพลในทางใดๆ นอกจากการได้รับการยอมรับจากประชาชน ที่สั่งสมมาจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศเท่านั้น” ว่าที่ ร.ท.ธนเดช กล่าว