ผ่าแผน“ทักษิณ”ชิงแต้มแลนด์สไลด์ “อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา-ตัวละครลับ”ชิงนายกฯ

ผ่าแผน“ทักษิณ”ชิงแต้มแลนด์สไลด์  “อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา-ตัวละครลับ”ชิงนายกฯ

“ทักษิณ-กุนซือ” รู้ดีว่า หากชนะแบบแลนด์สไลด์ ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจาก “ขั้วตรงข้าม” มี 250 ส.ว. เป็นเสาค้ำยัน พรรคเพื่อไทยจึงต้องมีบุคคลที่คอยเชื่อมกับ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” เอาไว้ต่อรองทางการเมืองเช่นกัน

แม้พรรคเพื่อไทย มั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ แต่ยังมีอาการหวั่นไหว เกรงว่าจะโดน “ขั้วอำนาจ” เล่นงานถึงขั้นยุบพรรค จึงต้องเปลี่ยนโครงการสร้างพรรคเสียใหม่ ถอดกรรมการบริหารพรรคที่จะลงสมัคร ส.ส.เขต ออกจากตำแหน่ง เพราะสุ่มเสี่ยงจะโดนจับทุจริตเลือกตั้ง จนสะเทือนถึงพรรคได้

เดิมพรรคเพื่อไทยนัดหมายประชุมใหญ่วิสามัญในวันที่ 28 พ.ย. แต่ต้องเปลี่ยนวันเสียใหม่ โดยนัดหมายในวันที่ 6 ธ.ค.2565 เนื่องจากต้องการรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในวันที่ 30 พ.ย.ให้สะเด็ดน้ำ เสียก่อน

โดยคาดว่ากรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งจะให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ เข้ามาคุมเกม อาทิ ภูมิธรรม เวชยชัย ชูศักดิ์ ศิรินิล พงศกร อรรถนพพร จะเข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรค เพื่อขจัดจุดอ่อนของตัวเอง

ทว่า ภารกิจสำคัญสุด อยู่ที่กลยุทธชนะแบบแลนด์สไลด์ เมื่อย้อนกลับไปมองจำนวน ส.ส.ของ “พรรคตระกูลชินวัตร” ที่คว้าชัยสนามเลือกตั้งมาตลอด มีดังนี้ 

ปี 2544 พรรคไทยรักไทยได้ ส.ส. 248 ที่นั่ง ปี 2548 พรรคไทยรักไทย ส.ส. 377 ที่นั่ง ปี 2549 พรรคไทยรักไทย ส.ส. 460 ที่นั่ง ขณะที่การเลือกตั้งปี 2550 ซึ่งเป็นโมฆะ พรรคพลังประชาชน ก็ยังได้ ส.ส. 233 ที่นั่ง

ปี 2554 พรรคเพื่อไทย จำนวน ส.ส. 265 ที่นั่ง ปี 2557 การเลือกตั้งเป็นโมฆะอีกครั้ง และปี 2562 พรรคเพื่อไทย ได้จำนวน ส.ส. 136 ที่นั่ง

สังเกตได้ว่าจำนวน ส.ส. ของพรรคตระกูลชินวัตร อยู่ในหลัก 230 ที่นั่งขึ้นไป โดยไม่นับรวมปี 2562 เนื่องจากส่ง ส.ส. ไม่ครบตามจำนวนเขตทั้งหมด และไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ตามเงื่อนไขของบัตรเลือกตั้งใบเดียว เมื่อเปลี่ยนกลับมาเป็นบัตรสองใบ จึงมีโอกาสได้ ส.ส. อยู่ในเรตเดิม

โดยในการเลือกตั้งปี 2566 หากพรรคเพื่อไทย ต้องการชนะแบบแลนด์สไลด์ ต้องได้ ส.ส. 253 ที่นั่งขึ้นไป แต่เมื่อนับตัวเลขจริงบนกระดานการเมือง ยังมีไม่ถึง 253 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็นภาคอีสาน 105-110 ที่นั่ง ภาคเหนือ 60 ที่นั่ง ภาคกลาง 20 ที่นั่ง กทม. 20 ที่นั่ง ภาคใต้ไม่นับบัญชีรายชื่อ 30 ที่นั่ง รวมพรรคเพื่อไทยมีโอกาสจะได้ ส.ส.อยู่ที่ 240 ที่นั่ง

เมื่อ “ทักษิณ-กุนซือ” รับรู้ตัวเลข ส.ส. ที่มีโอกาสได้ ไม่ถึงขั้นแลนด์สไลด์ จึงต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ เพื่อดึงคะแนนกลับมา โดยวางเกมดึงคะแนนผ่าน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

“อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะเข้ามาช่วยดึงฐานคะแนนคนรากหญ้า ที่นิยมชมชอบการทำงานของ “ทักษิณ” รวมถึงฐานที่มั่นคนเสื้อแดงในภาคอีสาน-ภาคเหนือ และพื้นที่ภาคกลาง (นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา)

แต่ปัญหาของ “แพทองธาร” หากดูจากนิด้าโพล แม้จะชนะในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง แต่แพ้ในกทม. สะท้อนให้เห็นว่า “ชนชั้นกลาง” ยังไม่ยอมรับ เช่นเดียวกับ “คนรุ่นใหม่” ที่ยังก้ำกึ่ง ไม่เทคะแนนให้เสียทีเดียว

ส่วน “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งมีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ เติมคะแนนรุ่นใหม่ รวมถึงดึงคะแนนจากชนชั้นกลาง โดยมีภาพลักษณ์ที่ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” บางสายยอมรับได้ และจะถูกใช้เป็นตัวเลือก “คนกลาง” ที่จะตรึงระหว่างพรรคเพื่อไทย และขั้วอนุรักษ์นิยม

ขณะเดียวกันมีกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังมี “ตัวละครลับ” ที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 เพื่อสร้างคะแนนอีกกลุ่ม เติมความเข้มแข็งให้พรรคเพื่อไทย ตอกย้ำความไว้วางใจจาก “ขั้วอนุรักษ์นิยม”

การวางเกมของ “ทักษิณ-กุนซือ” ผ่านแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 วาง ถูกจัดวางไว้อย่างแยบยล ทั้ง 3 คนจะดึงคะแนนของแต่ละกลุ่มก้อนมารวมเป็นหนึ่งเดียวไว้ที่พรรคเพื่อไทย เพื่อตอบโจทย์ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์

ทว่า “ทักษิณ-กุนซือ” รู้ดีว่า หากชนะแบบแลนด์สไลด์ ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจาก “ขั้วตรงข้าม” มี 250 ส.ว. เป็นเสาค้ำยัน พรรคเพื่อไทยจึงต้องมีบุคคลที่คอยเชื่อมกับ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” เอาไว้ต่อรองทางการเมืองเช่นกัน