“พิธา-โรม” ประณามสลายม็อบเอเปค อับอายขายหน้าชาวโลก รัฐกดขี่คนเห็นต่าง

“พิธา-โรม” ประณามสลายม็อบเอเปค อับอายขายหน้าชาวโลก รัฐกดขี่คนเห็นต่าง

“พิธา-โรม” ประณามสลายม็อบชุมนุม 18 พ.ย. ป่วนประชุม “เอเปค” ชี้ควรเปิดกว้างความเห็นหลากหลาย ไม่ใช่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนเกิดเหตุ-ผิดหลักการ-ไร้ความจำเป็น ลั่นอับอายขายขี้หน้าชาวโลก รัฐบาลกดขี่ผู้เห็นต่าง

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2565 มีความเคลื่อนไหวจากแกนนำพรรคก้าวไกล ถึงกรณีการสลายการชุมนุมของกลุ่ม “ราษฎรหยุดเอเปค” โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊กว่า เอเปค 2022 ควรเป็นการประชุมที่เปิดกว้างและโอบรับความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ใช่เป็นการประชุมที่ต้องใช้ความรุนแรงทำร้ายประชาชนอย่างเกินเหตุ ผิดหลักการ และไร้ความจำเป็น เพียงเพื่อให้ใครได้ถ่ายรูปกับผู้นำชาติอื่นอย่างสบายใจ หยุดคุกคามประชาชน

“พรรคก้าวไกลเรากำลังติดตามเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด โดยมี ส.ส.ของพรรคหลายคน ที่ได้เข้าไปสังเกตการณ์ยังพื้นที่ชุมนุมรวมถึงสถานที่ที่ตำรวจนำตัวผู้ชุมนุมไปควบคุมไว้แล้วครับ” นายพิธา ระบุ

“พิธา-โรม” ประณามสลายม็อบเอเปค อับอายขายหน้าชาวโลก รัฐกดขี่คนเห็นต่าง

หลังจากนั้น พรรคก้าวไกล เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมของประชาชนที่รวมตัวกันการสลายชุมนุมของตำรวจต่อกลุ่ม "ราษฎรหยุดเอเปค 2022" ที่ต้องการเพียงแค่เดินขบวนจากลานคนเมือง มุ่งหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่สกัดกั้นบุกจับกุม มีคนถูกกระสุนยาง แก๊สน้ำตาเป็นจำนวนมาก ว่าถือเป็นความอับอายที่รัฐบาลไทยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการเช่นนี้ทั้งที่การประชุม APEC ควรเป็นเวทีที่เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ใช่แค่เพื่อพูดคุยตกลงกันในระดับผู้นำประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชน ภาคประชาสังคมต่าง ๆ ด้วย

ในอดีต การประชุมระดับนี้ในประเทศอื่น ๆ ก็มักจะมีการรวมตัวชุมนุมของประชาชนและภาคประชาสังคมเพื่อส่งเสียงเรียกร้องถึงเหล่าผู้นำประเทศเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลแต่ละประเทศว่าจะมีความเปิดกว้างและรับมือกับสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรงบานปลายได้แค่ไหน

แต่ในกรณีของไทยวันนี้ รัฐบาลเลือกที่จะรับมือกับสถานการณ์ด้วยการใช้ความรุนแรงแบบเกินกว่าเหตุต่อผู้ชุมนุมที่มีจำนวนไม่มากและมีข้อเรียกร้องเพียงแค่ยื่นหนังสือต่อตัวแทนเท่านั้น มีการใช้กำลังที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของการควบคุมฝูงชน ทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงทั้งผู้ชุมนุมและสื่อมวลชน ตั้งแต่ช่วงที่ผู้ชุมนุมเพิ่งเริ่มเดินขบวน ห่างจากสถานที่ประชุมเกือบ 10 กิโลเมตร

"ผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่อาจยอมรับการกระทำของรัฐบาลได้ และขณะนี้มี ส.ส.พรรคก้าวไกลเข้าร่วมสังเกตการณ์และเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ถูกคุมตัว สุดท้ายรัฐบาลไทยต้องตอบให้ได้ว่าประเทศไทยได้อะไรจากการเป็นเจ้าภาพประชุม APEC และสานฝันของพลเอกประยุทธ์ ที่จะได้ถ่ายรูป ได้ร่วมโต๊ะกับผู้นำนานาชาติแค่เพียงเท่านั้น" นายพิธา กล่าว

ส่วนนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก ว่า ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ไม่มีตรงไหนเลยที่ห้ามมิให้ประชาชนเดินขบวนไปยังสถานที่จัดประชุม APEC แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดให้ศูนย์ประชุมสิริกิติ์เป็นสถานที่ตามความในมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.ชุมนุม แต่มาตรา 8 กำหนดแค่ว่าการชุมนุมต้องไม่ขวางทางเข้าออกหรือทำให้ไม่สามารถใช้งานสถานที่ได้ ดังนั้นต่อให้ประชาชนเดินขบวนไปถึงหน้าศูนย์ประชุมฯ ถ้ายังจัดการให้การประชุมดำเนินต่อไปได้ ประชาชนก็ย่อมมีสิทธิชุมนุมได้ ซึ่งในความเป็นจริงกำลังตำรวจที่มีสามารถบริหารจัดการได้แน่ ๆ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ #ม็อบ18พฤศจิกา65 คือตำรวจไปตั้งแนวขวางและสลายการชุมนุมตั้งแต่บริเวณลานคนเมืองและถนนราชดำเนิน ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์ประชุมฯ เกือบ 10 กิโลเมตร ผู้ชุมนุม ณ ตอนนั้นไม่ได้มีความใกล้เคียงกับการจะทำให้การประชุมจัดต่อไม่ได้เลย ทั้งยังปรากฏภาพตำรวจเตะผู้ชุมนุม ใช้ปืนกระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุมระยะประชิดโดยไม่มีการประกาศล่วงหน้า

“สิ่งที่สร้างความอับอายขายหน้าต่อชาวโลกมากที่สุด จึงไม่ใช่การที่มีประชาชนออกมาชุมนุมประท้วง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนในนานาอารยประเทศเขาทำกันได้ แต่คือการใช้อำนาจอย่างล้นเกินของรัฐบาลเพื่อกดขี่ผู้เห็นต่างนั่นเอง” นายรังสิมันต์ ระบุ

“พิธา-โรม” ประณามสลายม็อบเอเปค อับอายขายหน้าชาวโลก รัฐกดขี่คนเห็นต่าง