การพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาประชาธิปไตย ต้องเดินไปด้วยกัน | เกียรติอนันต์

การพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาประชาธิปไตย ต้องเดินไปด้วยกัน | เกียรติอนันต์

ผมเพิ่งมีโอกาสได้อ่านงานวิจัยของ ศ.เปซวอร์สกี้ (Adam Przeworski) เรื่องประชาธิปไตยกับการพัฒนาเศรษฐกิจ (Democracy and Economic Development)  ผลการศึกษาของงานชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางสังคมมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาประชาธิปไตย

สิ่งที่ทำให้งานวิจัยชิ้นนี้น่าสนใจคือ  เปซวอร์สกี้เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับประชาธิปไตยมีความสลับซับซ้อน  การที่ประเทศพัฒนาแล้วร่ำรวยมีประชาธิปไตยมั่นคง  แต่ประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาจำนวนหนึ่งยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ 

ไม่ได้หมายความว่าประชาธิปไตยจะทำให้เราอยู่ดีกินดีขึ้นเสมอไป  และการพัฒนาเศรษฐกิจก็มิใช่หลักประกันว่าประชาธิปไตยของประเทศจะเบ่งบานตามไปด้วยเสมอไปเช่นกัน

พลวัตและทิศทางการพัฒนาของประเทศถูกผลักดันด้วยปัจจัยในระดับมหภาคและปัจจัยระดับจุลภาคควบคู่กัน  สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว ปัจจัยระดับจุลภาคอาจไม่ได้มีผลมากนัก  ถึงเศรษฐกิจจะตกต่ำแค่ไหน  การแก้ปัญหาก็จะอยู่ในกรอบของประชาธิปไตย 

แต่สำหรับประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา  พัฒนาการทางการเมืองมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทั้งสองระดับ เมื่อเศรษฐกิจไม่เติบโตเท่าที่ควร มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ  น้ำมันแพง  ค่าครองชีพสูง 

หากรัฐบริหารจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ไม่ดีก็อาจเกิดความไม่สงบขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นบางประเทศสามารถประคับประคองประชาธิปไตยไปได้ตลอดรอดฝั่ง  แต่บางประเทศกลับติดหล่มไปไม่ถึงดวงดาว

เปซวอร์สกี้ วางกรอบการวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎีเกมและตัวแบบทางสถิติเพื่อทำนายโอกาสอยู่รอดของประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ผลการศึกษาได้ข้อสรุปดังนี้

การพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาประชาธิปไตย ต้องเดินไปด้วยกัน | เกียรติอนันต์

1.รายได้ต่อหัวของประชากรขั้นต่ำที่จะช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเมืองจนสามารถประคับประคองประชาธิปไตยให้อยู่ได้นั้นอยู่ที่ประมาณ 6,055 เหรียญสหรัฐ  ยิ่งรายได้ต่อหัวต่ำ  อายุของประชาธิปไตยในประเทศก็สั้นลง  ประเทศที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐจะรักษาประชาธิปไตยไว้ได้มากที่สุดประมาณสิบสองปี

2.การศึกษาช่วยเพิ่มโอกาสอยู่รอดของประชาธิปไตยให้สูงขึ้นได้ แต่ก็ไม่มากเท่ากับการเพิ่มระดับรายได้ต่อหัว

3.ผลกระทบของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีผลไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำทำให้เกิดความไม่สงบทางการเมือง  และความไม่สงบทางการเมืองก็ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำได้เช่นกัน

4.การลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของประชาธิปไตยได้มากขึ้น โดยอาจเพิ่มขึ้นสูงสุดได้ถึงสี่เท่าตัว

5.สำหรับประเทศซึ่งระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน  ปัจจัยทางเชื้อชาติและศาสนาส่งผลต่ออายุขัยของประชาธิปไตยน้อยมาก

การพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาประชาธิปไตย ต้องเดินไปด้วยกัน | เกียรติอนันต์

6.เมื่อใดพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งผูกขาดอำนาจในรัฐสภา  สามารถยึดที่นั่งในสภาได้อย่างน้อยสองในสาม  สิ่งที่ตามมาก็คือความวุ่นวายทางการเมือง  จนอาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองได้ในที่สุด

7.การเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่นไม่ได้มีผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยมากเหมือนที่เคยเชื่อกัน

8.ในประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา  ระบบรัฐสภามีโอกาสจะอยู่รอดได้มากกว่าเลือกประธานาธิบดี  อย่างไรก็ตาม  เมื่อระดับรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 6,055 เหรียญสหรัฐ  ระบบทั้งสองระบบนี้ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 

หากรายได้ต่อหัวสูงกว่ารายได้ต่อหัวขั้นต่ำมากพอก็จะทำให้ประชาธิปไตยสามารถหยั่งรากได้อย่างถาวร  ไม่ว่าจะเกิดความไม่สงบทางการเมือง  ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ  หรือการเกิดสงครามก็จะไม่ทำให้ประเทศเดินถอยหลังทางการเมืองกลับไปสู่การปกครองโดยเผด็จการอีก

9.ประเทศที่มีความต่อเนื่องของกระบวนการประชาธิปไตยเป็นเวลานาน มีโอกาสจะรักษาประชาธิปไตยเอาไว้ได้มากกว่าประเทศที่กระบวนการประชาธิปไตยหยุดชะงัก  การฆ่าตัดตอนประชาธิปไตยในกรณีนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะกระบวนการปฏิวัติรัฐประหาร  การที่ผู้บริหารประเทศไม่ฟังเสียงของประชาชนก็มีร้ายแรงพอกัน

การพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาประชาธิปไตย ต้องเดินไปด้วยกัน | เกียรติอนันต์

นอกจากข้อสรุป 9 ข้อนี้  เปซวอร์สกี้ยังพูดถึงมารยาททางการเมืองและคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองด้วย  เพราะการวิเคราะห์ข้างต้นตั้งอยู่บนสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักการเมืองและการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนว่าเกิดขึ้นอย่างมีเหตุมีผล  ยอมรับกฎกติกาทางการเมืองมีมีอยู่

เขายกอุปมาอุปมัยเอาว่าการเข้ามาเล่นการเมืองก็เหมือนกับการเล่นพนันในบ่อน  ถึงตอนเข้ามาแรกๆ ทุกคนไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะได้หรือเสีย  แต่เมื่อตัดสินใจเข้าไปเล่น  ก็เท่ากับยอมรับไปในตัวแล้วว่าจะทำตามกติกาซึ่งได้วางเอาไว้อย่างเคร่งครัด  แพ้ก็ต้องยอมรับ  ชนะก็ได้มีสิทธิรับรางวัล  หากไม่พอใจแล้วตีรวนพาลเขาไปทั่ว  ไม่เคารพกติกาที่เป็นอยู่  สุดท้ายก็วงแตก

การเล่นเกมภายใต้กฎกติกาจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพในระยะยาว หากกฎกติกาถูกเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจนกฎกติกาขาดความน่าเชื่อถือ  ทุกคนก็เห็นแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นของตัวเอง  พยายามเปลี่ยนกติกาเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองให้มากที่สุด 

เมื่อเป็นเช่นนี้  ต่อให้มีปัจจัยอื่นๆ ดีแค่ไหน  ประชาธิปไตยก็ไปไม่รอดอยู่ดี

คอลัมน์ หน้าต่างความคิด

ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

[email protected]