“เพื่อไทย”ประกาศฟื้นนโยบายทำสงครามกับยาเสพติด-จี้ทบทวนครองอาวุธปืน

“เพื่อไทย”ประกาศฟื้นนโยบายทำสงครามกับยาเสพติด-จี้ทบทวนครองอาวุธปืน

“เพื่อไทย”ประกาศฟื้นนโยบายทำสงครามกับยาเสพติด-จี้ทบทวนครองอาวุธปืน หลังเหตุกราดยิง จ.หนองบังลำภู ขจัดให้สิ้นจากสังคมไทย พร้อมปรับวิธีการให้ดีขึ้น เข้มงวดรับบุคลากรเข้าสู่หน่วยงานที่ใช้อาวุธ

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้สูญเสีย จากเหตุการณ์เศร้าสลดที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู มีผู้เสียชีวิต 38 ราย ขอวิญญาณผู้เสียชีวิตเดินทางไปสู่สัมปรายภพ  จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพรรคเพื่อไทยได้ให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด ยืนยันว่ายาเสพติด คือบ่อนทำลายประเทศ   

“พรรคเพื่อไทยจึงขอประกาศฟื้นนโยบาย ‘ทำสงครามกับยาเสพติด’  โดยยินดีที่จะปรับปรุง แก้ไข ข้อบกพร่องในอดีต  เพื่อขจัดยาเสพติดให้สิ้นไปจากสังคมไทย  จะเอาจริงเอาจัง ไม่ปล่อยปละละเลยให้เเยาวชนกลายเป็นหนูทดลองยา  คืนลูกหลานสู่สังคม  และจะทำทุกวิถีทางที่จะดำเนินการเรื่องนี้เพื่อให้ประเทศไทยออกจากวิกฤตยาเสพติดให้ได้” 

สำหรับกระบวนการหลังจากนี้  รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรม  ต้องเร่งรัดกระบวนการเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสีย ต้องได้รับการเยียวยาจากการเสียชีวิต ค่าเลี้ยงดูและค่าปลงศพ รวมประมาณ 110,000 บาทต่อราย และต้องเร่งเยียวยาสภาพจิตใจ ขวัญและกำลังใจของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย 

พรรคเพื่อไทย ขอเรียกร้องให้ ‘หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง’ หาแนวทางการแก้ไขปัญหา 4 ประเด็น ได้แก่

1.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีกำลังพลที่ถืออาวุธต้องให้ความสำคัญ ใส่ใจ ดูรายละเอียด หาสาเหตุของปัญหา และหาแรงจูงใจ กำหนดเป็นมาตรการแก้ไขออกมา 

2.มาตรการการคัดเลือกบุคลากรเข้าสู่ตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานที่สามารถครอบครองอาวุธ ต้องไม่มีความเสี่ยงในการก่อเหตุรุนแรง ต้องมีระบบประเมินสภาพทางจิตและสภาพแวดล้อมว่าไม่มีความเสี่ยงต่อการก่อเหตุความรุนแรง   
 

3.สภาพแวดล้อมการทำงาน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะก่อเหตุร้าย หน่วยงานเหล่านี้ต้องไปพิจารณาปัจจัยเหตุเสริมและปัจจัยที่เอื้อต่อการก่อเหตุ

4.มาตรการระงับยับยั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีกระบวนการแจ้งเหตุเตือนภัย ต้องวางโครงข่ายให้หมด อย่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอยู่ใน อบต .ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ต้องวางระบบการเตือนภัยอย่างเข้มงวด 

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า จาก 8 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นชัดแจ้งอย่างน้อย 2 ครั้งมีผู้สูญเสียจำนวนมาก  พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับพี่น้องประชาชนในการแก้ไขปัญหา  เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก  จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

1.ประกาศให้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นบทเรียน เพื่อศึกษาถึงปัญหา สภาพ จิตใจ แรงจูงใจ วิธีการแก้ปัญหา และแนวทางปฏิบัติ  เพื่อหาทางแก้ปัญหาระยะสั้น  ระยะกลาง  และระยะยาว

2.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องในหลายมิติ ทั้งมิติในเชิงสังคม เศรษฐกิจและความมั่นคง พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการติดตามเข้าไปช่วยเหลือ ดูแล ปัญหาอย่างต่อเนื่อง  โดยวานนี้ ส.ส.เขตพื้นที่ จ.หนองบัวลำภู  ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ และครอบครัวผู้เสียชีวิตตลอดคืนที่ผ่านมา  รวมถึงในวันนี้ด้วย พร้อมนำเรื่องนี้เข้าสู่คณะกรรมาธิการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฏร และคณะกรรมาธิการตำรวจ เพื่อทางแนวป้องกันปัญหา การชดเชยเยียวยา รวมทั้งดูแลสภาพจิตใจครอบครัวผู้สูญเสียด้วย 
 

ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุถูกไล่ออกจากราชการ  เพราะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการจงใจที่จะก่อเหตุอาชญากรรมร้ายแรงที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนในระดับโลก พรรคเพื่อไทย เห็นว่าสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากปัจจัยสำคัญหลายด้าน ได้แก่

1.ยาเสพติด นโยบายแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาลชุดนี้มีข้อผิดพลาดบกพร่อง มาตรการปราบปรามเสมือนว่ามีตัวเลขรายงานการจับกุมและยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องได้มากมาย แต่มาตรการป้องกันไม่ค่อยชัดแจ้ง  เพียงแต่ทราบว่ามียาเสพติดระบาดทุกหนแห่ง ยาบ้า 4 เม็ดร้อย พบเห็นในทุกส่วนของทุกภูมิภาคของประเทศไทย  ทั้งนี้จากการตรวจสอบว่ายาบ้ามีการแข่งกันผลิต 7 โรงงาน โดยรอบชายแดนประเทศ มีการใช้ความรู้ทางเคมีผลิตสารตั้งต้นออกฤทธิ์คล้ายอีฟีดีน ซึ่งต้นทุนต่ำเม็ดละ 7 บาท จำหน่ายเม็ดละ 20 บาท

2.รัฐบาลนี้ประกาศว่า ผู้เสพคือผู้ป่วย ต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟู แต่ในข้อเท็จจริงกระบวนการฟื้นฟูหละหลวม  ผู้ป่วยไม่ได้รับการฟื้นฟูที่ดีพอ จนมีปัญหาสภาพจิตใจ  มีสภาพหลอนคุ้มคลั่งโดยเฉพาะผู้เสพเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งผู้ก่อเหตุรายนี้คาดว่าเสพยายาวนาน สภาพจิตใจไม่ปกติ ส่งผลต่อการกระทำรุนแรงมีความเคียดแค้นชิงชังอย่างหนักหนาสาหัส  

3.เรียกร้องให้รัฐบาลมีระบบการบัดบัด รักษาผู้ติดยาเสพติดอย่างเร่งด่วน ที่ผ่านมาไม่มีสถานบำบัด ฟื้นฟู อย่างเข้มงวดจริงจัง  จึงเรียกร้องนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เจ้ากระทรวงให้เร่งแก้ปัญหานี้  ต้องเอาผู้เสพไปดูแล บำบัด รักษา ควบคุมพฤติกรรม  เช่น กรณีกัญชาเสรี ที่สังคมเข้าใจว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด  ทั้งที่เป็นพืชที่มีสารเสพติดที่ต้องมีการควบคุมการใช้ 

4.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะของผู้ที่มีอาวุธประจำกาย ดังนั้นการครอบครองอาวุธปืนในไทยต้องมีการทบทวน ใครต้องถือครอง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่ครอบครองอาวุธปืนถูกกฎหมาย มาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐกรณีที่ถูกไล่ออกจากราชการต้องมีมาตรการรองรับอย่างเข้มข้น และต้องมีมาตรการรองรับ โดยต้องมีการประเมินสภาพจิตใจด้วย เช่น กรณีกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ที่คับแค้น หรือเมื่อครั้งที่ตนเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล จ.น่าน มีตำรวจนายหนึ่งถูกย้ายจากภาคใต้มาที่ จ.น่าน ด้วยประพฤติไม่เหมาะสมในทางราชการ  เกิดอาการคุ้มคลั่งจี้และยิงประชาชนบาดเจ็บสาหัส  เป็นตัวอย่างของการลงโทษข้าราชการโดยไม่มีมาตราการรอบรับ

5.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่าสังคมไทย เป็นสังคมที่มีภาวะกดทับ และภาวะกดดันอย่างมากมาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก มีอารมณ์ร้อน จากการศึกษาพบว่า เด็กและเยาวชนถูกขับไล่ออกจากระบบการศึกษา จากยาเสพติดและการก่อความวุ่นวาย ซึ่งพรรคเพื่อไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมาก  จึงจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ทีมนโยบายเพื่อไทย เพื่อหาทางนำเด็กและเยาวชนที่ถูกผลักออกจากระบบการศึกษา เข้าสู่ภาวะปกติ  และต้องมีวิธีการฟื้นฟูดูแลสภาพจิตใจ

ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่การใช้ความรุนแรงเกิดจากคนที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และมีอาวุธปืนในครอบครอง อย่างน้อย 4 กรณี ทั้งเหตุการณ์ทหารคลั่งก่อเหตุกราดยิงโคราช มีผู้เสียชีวิต 31 ราย ทหารคลั่งกราดยิงที่โรงพยาบาลสนาม ผู้เสียชีวิต 2 ราย ทหารคลั่งกราดยิงสนค่ายทหาร มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และล่าสุดกับเหตุการณ์ในวันนี้ ที่นายตำรวจคลั่งกราดยิงศูนย์เด็กเล็ก จนทำให้เด็กน้อยผู้บริสุทธิ์ต้องจากโลกนี้ไปวัยอันควร

ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า กรณีล่าสุดนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการปัญหาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา  ใน 2 ประเด็น ได้แก่

1.ปัญหายาเสพติดระบาดหนัก และการปราบปรามที่ล้มเหลว : พรรคเพื่อไทยได้เตือนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาโดยตลอด  โดยชี้ให้เห็นถึงสาเหตุและทางออก ในการจัดการปัญหายาเสพติด แต่พลเอกประยุทธ์ไม่เปิดใจรับฟัง จนทำให้ตัวเลขการจัดการปัญหายาเสพติดยังพุ่งสูงขึ้น เช่น จำนวนผู้ถูกจับกุมจากปัญหายาเสพติดที่ในปี 2564 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 349,511 คน มากกว่าปี 2563 กว่าเท่าตัว ตัวเลขเหล่านี้ คือเครื่องยืนยันถึงความละเลย และไม่ใส่ใจในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังของ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์  และยิ่งตอกย้ำชัดเจน เมื่อผู้ก่อเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนี้ เคยรับราชการตำรวจและถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพราะพัวพันปัญหายาเสพติด ทั้งหมดสะท้อนว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่มากของสังคมไทยในขณะนี้ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งควรเป็นผู้จับกุม ผู้ปราบปราม แต่กลับกลายทั้งผู้เสพเสียเอง

2.การครอบครองอาวุธปืน : ควรทบทวนการให้ใบอนุญาตการครอบครองปืนถูกกฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น  เพิ่มการตรวจสอบการครอบครองปืนที่เข้มข้นมากขึ้น รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้มงวด และปราบปรามการลักลอบซื้อ-ขาย ปืนเถื่อน เพื่อป้องกันการก่อเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต  ทั้งนี้สื่อต่างประเทศรายงานว่า ประเทศไทยมีการครอบครองอาวุธปืนสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย โดยอ้างอิงจากกรณีกราดยิงที่นครราชสีมา ลพบุรี และ กทม.ที่ผ่านมา  และประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืนสูงสุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก 

“การที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ โดนระบุว่า ก็คนติดยาจะให้ทำอย่างไร ถือเป็นการปัดความรับผิดชอบของคนเป็นฝ่ายบริหาร  มองปัญหาที่ตัวบุคคล  โดยละเลยข้อเท็จจริงและปัญหาเชิงโครงสร้างว่าแท้จริงเหตุใดยาเสพติดระบาดหนักขึ้น ราคายาบ้าเท่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งห่อ ประเทศไทยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เพราะอะไร” ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าว