ปมสะดุด ดีล “ทสท.+สอท.” “2 ส.”หารเก้าอี้-ต้นทุน ไม่ลงตัว

ปมสะดุด ดีล “ทสท.+สอท.”  “2 ส.”หารเก้าอี้-ต้นทุน ไม่ลงตัว

มีกระแสข่าวว่า ข้อเสนอฝั่งสร้างอนาคตไทย คือ “สมคิด” ต้องเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ประเด็นนี้ฝั่งไทยสร้างไทยยอมรับได้ ไม่มีปัญหา แต่ต้องแลกด้วยเก้าอี้หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ “สุดารัตน์” ต้องนั่งเก้าอี้ผู้นำพรรค ประเด็นนี้ “สมคิด” ก็ไม่มีปัญหา

ช่วงโค้งสุดก่อนครบเทอมสภาผู้แทนราษฎรในทุกยุคสมัย มักมีการโยกย้ายถ่ายเทของบรรดา ส.ส. อดีต ส.ส. ผู้สมัคร ส.ส. เพื่อหาสังกัดใหม่ หรือรักษาพื้นที่ในสังกัดเก่า จึงไม่แปลกที่พรรคการเมือง ทั้งพรรคเก่า-พรรคใหม่ จะมีความเคลื่อนไหวปรากฎให้เห็นตลอดเวลา

โดยเฉพาะ “พรรคน้องใหม่” แม้ผู้นำพรรค-แกนนำพรรค จะเจนจัดอยู่ในวงการการเมืองมานาน แต่ “คนการเมือง” ย่อมประเมินตัวเองออก อ่านหน้าไพ่ตัวเองขาด ว่าจะมีศักยภาพสู้ศึกเลือกตั้งได้มากน้อยแค่ไหน มีโอกาสได้ ส.ส. เข้าสภาสักกี่คน ก่อนจะเคลื่อนองคาพยพลงสนาม

เช่นเดียวกับ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตหัวหน้าพรรคกล้า เมื่อประเมินแล้วว่า แบรนด์พรรคกล้า โอกาสที่จะได้ ส.ส. เข้าสภาแทบเป็นศูนย์ “กรณ์” จึงไม่ลังเล ที่จะหาหนทางใหม่ เพื่อพาตัวเองไปให้ถึงเป้าหมาย และมีที่ยืนทางการเมือง

ก่อนที่จะลงเอยกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ให้มาเป็นตัวชูโรงด้านเศรษฐกิจที่พรรคชาติพัฒนา “กรณ์” พเนจรยื่นข้อต่อรองกับ “พรรคน้องใหม่” มาแล้วหลายพรรค แต่ดีลไม่จบ เมื่อข้อเสนอบนโต๊ะไม่ลงตัว

ทว่า “สุวัจน์” ซึ่งไร้ขุนพลด้านเศรษฐกิจ แต่พอมีฐานเสียงที่ จ.นครราชสีมา โดยเฉพาะในเขตเมือง ชื่อของ “สุวัจน์” ยังพอขายได้ จึงไม่แปลกที่ “กรณ์” จะยอมทิ้งพรรคกล้าที่ปั้นมากับมือ มาจับขั้วกับ “สุวัจน์” ที่พอมีฐานเสียงอยู่บ้าง แม้จะไม่มากมาย แต่อย่างน้อย ก็ยังพอเหลือที่ยืนทางการเมือง

โมเดล “กรณ์-สุวัจน์” จึงเป็นตัวตั้งต้นให้ “พรรคน้องใหม่” ได้ควบรวมกันอีกในอนาคต

ที่น่าจับตาความเคลื่อนไหวคือพรรคของ “2 ส.” คุณหญิงหน่อย "สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย(ทสท.) กับ เฮียกวง "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ที่มีแนวคิด และหาแนวทางควบรวมพรรคเช่นกัน

ว่ากันว่า มีความเคลื่อนไหวในการเจรจาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา “สุดารัตน์-สมคิด” ได้พบปะพูดคุยกันหลายครั้ง โดยมีหมุดหมายเดียวกันคือ การควบรวมพรรคไทยสร้างไทย + พรรคสร้างอนาคตไทย แต่ยังไม่สามารถหาจุดลงตัวได้

ล่าสุด ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา “สุดารัตน์-สมคิด” ได้เปิดโต๊ะเจรจากันอีกรอบ ทว่าประเด็นเนื้อหา กลับวนลูปอยู่ที่เดิม เพราะต่างฝ่ายต่างรับข้อเสนอของอีกฝ่ายไม่ได้ ความพยายามควบรวมสองพรรคนี้จึงวนอยู่ในอ่าง ไม่มีความคืบหน้าออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม

มีกระแสข่าวว่า ข้อเสนอฝั่งสร้างอนาคตไทย คือ “สมคิด” ต้องเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ประเด็นนี้ฝั่งไทยสร้างไทยยอมรับได้ ไม่มีปัญหา แต่ต้องแลกด้วยเก้าอี้หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ “สุดารัตน์” ต้องนั่งเก้าอี้ผู้นำพรรค ประเด็นนี้ “สมคิด” ก็ไม่มีปัญหา

สถานการณ์ ดูเหมือนทุกอย่างจะฉลุย แต่เงื่อนไขต่อจากนั้นได้ทำให้สะดุด จนหยุดนิ่งการเจรจา

เพราะประเด็นที่ตกลงกันไม่ได้อยู่ที่เก้าอี้ “เลขาธิการพรรค” เพราะทั้ง 2 ส. ต้องการให้คนของตัวเองนั่งเก้าอี้นี้ โดย “สุดารัตน์” เสนอ ผู้พันปุ่น “น.ต.ศิธา ทิวารี” ส่วน “สมคิด” เสนอชื่อ “อุตตม สาวนายน” โดยยอมลดระดับจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค 

ประเด็นนี้ ถึงถูกแขวนเอาไว้ เพราะต่างฝ่ายต่างยืนกราน ยังเคลียร์กันไม่ลง

ช็อตต่อมา ประเด็นสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องคน คือข้อตกลงเรื่อง “ทุนการเมือง” ปรากฎว่าต่างฝ่ายก็โยนกันไปมาอีกเช่นเคย 

เมื่อหลักคิด ค่าใช้จ่าย เห็นไม่ตรงกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งเห็นว่า “ทุน” ที่ลงเรี่ยวลงแรงในการทำพื้นที่ก่อนหน้านี้ ต้องเอามาคิดหักลบกลบหนี้ ในการเริ่มต้นด้วยกันใหม่ และหากจ่ายเกินไป ก็ขอเบิกกลับคืนมาด้วย เพราะช่วงที่ผ่านมา มีการใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมพรรค เดินสายลงพื้นที่ไปเยอะ 

เจอประเด็นนี้ เข้าไป จึงทำให้วงเจรจาควบรวมทุน ต้องยุติลงทันที

มาถึงจุดนี้ แม้จะสะดุดหยุดพักการต่อรองกันไป แต่แนวทางควบรวมพรรคระหว่าง 2 ส. ก็ถือว่า ยังไม่ปิดประตูตาย  เพราะต่างฝ่าย ต่างรู้ถึงสถานการณ์ดีว่า หากแยกทางกันเดิน โอกาสได้ ส.ส.เข้าสภาจะเป็นอย่างไร หากรวมพลังกัน กระแสชื่อชั้น “สุดารัตน์-สมคิด” ในทางการเมืองยังพอขายได้

ระหว่างดีลนี้ ยังมีแนว(อยาก)ร่วม ของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.อยู่ในสภา ที่รอจังหวะ ขอผนึกกำลังเป็น “พรรค 3 ส.”

ระหว่างที่ เสียงระฆัง สัญญาณลงสนามเลือกตั้งยังไม่ดังขึ้น ยังมีเวลาให้ “คุณหญิงหน่อย“ และ ”เฮียกวง" จบดีลควบรวมไทยสร้างไทย+สร้างอนาคตไทยให้ได้ เพราะยิ่งเร็ว ยิ่งชัดเจนเท่าไหร่ ย่อมมีโอกาสปั่นกระแสเป็นพรรคที่น่าลงทุน และน่าดึงดูดนักเลือกตั้งได้ไม่ยาก