“สัมฤทธิ์” มิสเตอร์เกษตร เนื้อหอม “นายกฯป้อม” หวง

“สัมฤทธิ์” มิสเตอร์เกษตร  เนื้อหอม “นายกฯป้อม” หวง

เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ไม่แปลกที่สัมฤทธิ์ จะเนื้อหอมถูกหลายพรรคการเมืองรุมจีบ เรื่องนี้ “ประวิตร” ก็ทราบข่าว และพยายามรั้งไม่อยากให้ย้ายไปไหน

ถึงแม้พรรคพลังประชารัฐจะถูกมองเป็นม้านอกสายตาในพื้นที่ภาคอีสานก็จริง แต่หากลองสแกนลงไปในแต่ละพื้นที่จะรู้ว่ามีส.ส.ที่มีความเข้มแข็งอยู่เช่นเดียวกัน เหมือนที่จ.ชัยภูมิ

ในการเลือกตั้ง ปี62 พลังประชารัฐ ปักธงที่ชัยภูมิได้ 2 ที่นั่ง หนึ่งในนั้นคือ “สัมฤทธิ์ แทนทรัพย์” ที่สามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส.ชัยภูมิ เขต3 ได้สำเร็จ แม้พื้นที่ดังกล่าวจะเป็นฐานเสียงของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่ด้วยจุดแข็งคือเรื่องตัวบุคคลและเครือข่ายในท้องถิ่น ทำให้ฝ่ากระแสไม่เอาทหารมาได้

โดยก่อนที่ “สัมฤทธิ์” จะลงการเมืองสนามใหญ่ เขาเคยเป็นนายกเทศมนตรีเทพสถิต ที่ชัยภูมิยาวนานต่อเนื่องถึง 4 สมัย และยังรักษาการในตำแหน่งดังกล่าวต่ออีก 2 ปี ในช่วงคสช. นับรวมแล้วเป็นเวลาถึง 18 ปี ทำให้มีความใกล้ชิดพื้นที่และชาวบ้านอย่างมาก

บทบาทหลังจากขยับขึ้นเป็นส.ส. สัมฤทธิ์ ได้โอกาสแก้ปัญหาให้เกษตรกร เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการทวงเงินประกันรายได้ให้ชาวบ้านที่ปลูกมันฯ ได้สำเร็จ วงเงินเกือบ 1,200 ล้านบาท 

นอกจากนั้น ส.ส.คนนี้ยังเป็นผู้เสนอไอเดียแก้ปัญหาฝุ่นPM2.5 ที่มีสาเหตุหลักมาจากการเผาอ้อย ด้วยการเสนอ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ให้ผลักดันงบประมาณอุดหนุนเกษตรกรที่ตัดอ้อยสดมาขาย ตันละ 120 บาท ซึ่งได้ผล สามารถช่วยชดเชยต้นทุนได้เป็นอย่างดีและเริ่มจ่ายเงินไปเมื่อปีที่แล้ว       

นอกจากนั้น สัมฤทธิ์ ยังเป็นหนึ่งในคนที่ขับเคลื่อนให้ยกเลิกการใช้สารพาราควอต อีกด้วย ผลงานต่างๆเหล่านี้ เพื่อนส.ส.ด้วยกันเองยังยอมรับว่าเป็นอีกคนที่รู้ปัญหาเกษตรกรตัวจริง จนชาวบ้านเรียกขานกันติดปากว่าเป็น “มิสเตอร์เกษตร” ไปเรียบร้อยแล้ว

ในช่วงเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแบบนี้ จึงไม่แปลกที่สัมฤทธิ์ จะเนื้อหอมถูกหลายพรรคการเมืองรุมจีบ เรื่องนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ทราบข่าว และพยายามรั้งไม่อยากให้ย้ายไปไหน

แว่วๆ ว่าในชัยภูมิ เขต3 ตอนนี้มีคนอกหักจากพรรคเพื่อไทย พยายามวิ่งเข้าหาขาใหญ่ในพลังประชารัฐคนหนึ่งให้สนับสนุนด้วยการส่งลงสมัครส.ส. แทนสัมฤทธิ์ 

ความเคลื่อนไหวในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง สถานการณ์ในพลังประชารัฐคงคุกรุ่นกว่านี้อีกหลายเท่า โดยเฉพาะการวางตัวผู้สมัครส.ส. มีมักมีข้อครหาอยู่เสมอ