คุกหนักก๊วนกฤษดามหานครคดีฟอกเงินกรุงไทย ชดใช้หมื่นล้าน “วิชัย” โดน 860 ปี

คุกหนักก๊วนกฤษดามหานครคดีฟอกเงินกรุงไทย ชดใช้หมื่นล้าน “วิชัย” โดน 860 ปี

ศาลอาญาคดีทุจริตฯกลาง พิพากษาจำคุก “ก๊วนกฤษดามหานคร” 6 คน คดีฟอกเงินจากคดีทุจริตสินเชื่อกรุงไทย คุกหนัก “วิชัย” 860 ปี “รัชฎา” 118 ปี สั่งชดใช้เงินรวมหมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อท.214/2561 อท. 289/2561 คดีหมายเลขแดงที่ อท. 102/2565 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือ “กฤษดามหานคร” กับพวกรวม 6 ราย เป็นจำเลย คดีฟอกเงิน สืบเนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้สินเชื่อให้แก่เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต วงเงิน 1.04 หมื่นล้านบาท

สำหรับจำเลยทั้ง 6 ราย ได้แก่ 

  1. นายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) ชื่อขณะนั้น
  2. นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชายนายวิชัย
  3. นายบัญชา ยินดี อดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด และบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด บริษัทในเครือของกฤษดามหานคร
  4. น.ส.เพชรรัตน์ เทพสัมฤทธิ์พร อดีตเลขานุการของนายรัชฎา
  5. นายปภพ สโรมา  อดีตกรรมการบริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด และ บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด และบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด
  6. นายธีรโชติ พรมคุณ พนักงานของบริษัท กฤษดามหานครฯ

โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 6 ว่า ในช่วงวันที่ 11 ก.ย. 2546-ธ.ค. 2547 จำเลยทั้ง 6 กับพวกอีกหลายคน ได้บังอาจสมคบกันฟอกเงิน โดยนำเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทย วงเงิน 10,400,000,000 บาท (หนึ่งหมื่นสี่ร้อยล้านบาทถ้วน) โดยจำเลยที่ 1, 2, 3, กับผู้มีชื่อกับพวก ได้นำบริษัทนิติบุคคลซึ่งจำเลยที่ 1-3 กับผู้มีชื่อมีอำนาจกระทำการแทนมาใช้ในการโอน รับโอนเงินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ยักยอก ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรของรัฐ ความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

โดยบริษัท อาร์เคฯ มีจำเลยที่ 3 และผู้มีชื่อเป็นกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการ บริษัท โกลเด้นฯ มีจำเลยที่ 3 และผู้มีชื่อเป็นกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการ บริษัท โบนัส บอร์น จำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการ ส่วนจำเลยที่ 4 มีฐานะเป็นเลขานุการของจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่จัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลอื่น เพื่อให้จำเลยที่ 1 กับพวก นำไปใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิด มาชำระค่าหุ้น 

ส่วนจำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างทำงานบ้านของผู้มีชื่อซึ่งเป็นพวกพ้องของจำเลยที่ 1, 2, 3 โดยจำเลยที่ 5 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คออกจากบัญชีบริษัท โกลเด้นฯ โดยบริษัทดังกล่าวรับโอนเงินจากการกระทำความผิดจากธนาคารกรุงไทย จากนั้นจำเลยที่ 5 สั่งจ่ายเช็คดังกล่าวออกจากบัญชีบริษัท โกลเด้นฯ แล้วนำฝากเข้าบัญชีของบริษัท แกรนด์ฯ นำฝากเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นบุริมสุทธิ แปลงสภาพของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) 

ส่วนจำเลยที่ 6 มีฐานะเป็นพนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่เปิดบัญชีธนาคารเพื่อให้จำเลยที่ 1 โอนเงินที่ได้จากการกระทำผิดเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 6 และทำหน้าที่นำเช็คธนาคารที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่าย ไปทำการเบิกถอนเป็นเงินสดตามคำสั่งของจำเลยที่ 1

นอกจากนี้จำเลยทั้ง 6 กับพวก ได้ใช้บริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ฯ และบริษัท แกรนด์ แซทเทิลไลท์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด มาทำการโอน รับโอน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดไปยังพวกของจำเลย และบุคคลผู้มีชื่อ

การกระทำของจำเลยทั้ง 6 กับพวกดังกล่าว เป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐานหรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพราง ลักษณะที่แท้จริง การได้มา แหล่งที่ตั้งการจำหน่าย การโอนการได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว อันเป็นการสมคบกันฟอกเงิน

ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 6 ราย มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 9, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้ง 6 ราย เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 

  • จำเลยที่ 1 กระทำความผิด 133 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 860 ปี
  • จำเลยที่ 2 กระทำความผิด 28 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 118 ปี
  • จำเลยที่ 3 กระทำความผิด 52 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 416 ปี
  • จำเลยที่ 4 กระทำความผิด 5 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 38 ปี
  • จำเลยที่ 5 กระทำความผิด 25 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 235 ปี
  • จำเลยที่ 6 กระทำความผิด 39 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 262 ปี

อย่างไรก็ดีความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ มาตรา 60 ต้องระวางโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 10 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1-6 คนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และนับโทษจำเลยที่ 1, 2, 3 ในคดีนี้ต่อกับโทษในคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต ซึ่งศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาไปแล้ว

  • ทั้งนี้ให้จำเลยที่ 1 และ 3 ร่วมกันรับผิดชอบชำระเงินแทนการริบทรัพย์สินเป็นเงิน 8,868,732,100 บาท 
  • จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในวงดังกล่าวเป็นเงิน 372,915,500 บาท 
  • จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดในวงเงิน 5,805,488 บาท 
  • จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดในวงเงิน 2,713,195,805 บาท
  • จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดในวงเงิน 548,987,420 บาท
  • ให้จำเลยที่ 5-6 ร่วมกันรับผิดในวงเงินดังกล่าวอีก 973,528,030 บาท
  • จำเลยที่ 2-4 ร่วมกันรับผิดในวงเงินดังกล่าวอีกเป็นเงิน 97,509,670 บาท

โดยให้จำเลยทั้ง 6 ชำระภายใน 30 วันนับแต่วันที่พิพากษา หากไม่ชำระเงินภายในระยะเวลาดังกล่าว ต้องรับผิดชอบชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ และให้บังคับคดีเอากับทรัพย์สินของจำเลยทั้ง 6 ไม่เกินจำนวนเงินที่แต่ละคนยังค้างชำระ แต่ความรับผิดในส่วนดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่ พ.ร.ฎ.ออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี