แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน 2): คู่ค้ารัฐ 3.7 พันล้าน เฉพาะ “คมนาคม” 1.9 พันล้าน

แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน 2): คู่ค้ารัฐ 3.7 พันล้าน เฉพาะ “คมนาคม” 1.9 พันล้าน

แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน 2): ยลโฉมคู่สัญญารัฐ ตั้งแต่ปี 43-65 กว่า 428 สัญญา รวมวงเงินไม่ต่ำกว่า 3.7 พันล้านบาท นับเฉพาะโครงการ “คมนาคม” ระหว่างปี 58-64 ราว 132 โครงการ วงเงิน 1.9 พันล้านบาท

เงื่อนปม หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่ถูก “ฝ่ายค้าน” นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ “เสี่ยโอ๋ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ระหว่างวันที่ 19-20 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา กำลังเป็นเรื่องที่สาธารณชนให้ความสนใจอย่างมาก

เนื่องจากยังมีเงื่อนปมสำคัญอยู่ 2 กรณีที่ “ศักดิ์สยาม” ยังไม่ชี้แจงให้เคลียร์ ได้แก่

1.กรณีการโอนหุ้นให้แก่ “เอ” นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ที่ระบุว่ามีความสัมพันธ์เป็น “คนใกล้ชิด” จำนวนเงิน 119,499,000 บาทนั้น เป็นการโอนให้เปล่า หรือว่าเสียเงิน หากเสียเงินมีการเสียภาษี และแจ้งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่

2.กรณีนายศักดิ์สยาม โอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์ไปแล้วเมื่อปี 2561 แต่ หจก.บุรีเจริญฯ ยังใช้ที่ตั้งเป็นบ้านของนายศักดิ์สยามอยู่ กระทั่งก่อนได้รับโปรดเกล้าฯเป็น รมว.คมนาคม เพียง 23 วัน หจก.บุรีเจริญฯ จึงแจ้งเปลี่ยนที่อยู่

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ กรุงเทพธุรกิจนำเสนอให้ทราบไปแล้วในตอนที่ 1 : แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน 1): เผยโฉมสัญญาโอนหุ้น 2 ปมซักฟอก “ศักดิ์สยาม”

แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า หจก.บุรีเจริญฯ นับเป็นอีกหนึ่งเอกชนรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และใน จ.บุรีรัมย์ โดยในช่วง 22 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา หจก.แห่งนี้ เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐกว่า 3.7 พันล้านบาท

มีรายละเอียด ดังนี้

ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พบว่า หจก.บุรีเจริญฯ เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ระหว่างปี 2543-2565 หรือราว 22 ปีที่ผ่านมา รวมอย่างน้อย 428 สัญญา (เท่าที่ตรวจสอบพบ) รวมวงเงินอย่างน้อย 3,733.1 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่

ช่วงแรก ระหว่างปีงบประมาณ 2540-2557 เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ อย่างน้อย 198 สัญญา (เท่าที่ตรวจสอบพบ) รวมวงเงินอย่างน้อย 718,694,417 บาท

ช่วงที่สอง ระหว่างปีงบประมาณ 2558-2565 หรือราว 8 ปีที่ผ่านมา หจก.บุรีเจริญฯ เป็นคู่สัญญารัฐระหว่างปีงบประมาณ 2558-2565 อย่างน้อย 230 โครงการ รวมวงเงินอย่างน้อย 3,014.5 ล้านบาท เช่น

  • ปีงบประมาณ 2565 (ข้อมูลถึง 21 ก.ค. 2565) เป็นคู่สัญญา 32 โครงการ รวมวงเงิน 527.43 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2564 เป็นคู่สัญญา 38 โครงการ รวมวงเงิน 657.02 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2563 เป็นคู่สัญญา 44 โครงการ รวมวงเงิน 563.85 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2560 เป็นคู่สัญญา 36 โครงการ รวมวงเงิน 319.99 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2559 เป็นคู่สัญญา 43 โครงการ รวมวงเงิน 164.81 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2558 เป็นคู่สัญญา 13 โครงการ รวมวงเงิน 94.84 ล้านบาท

*ข้อมูลรายละเอียดในปีงบประมาณ 2562-2561 ยังไม่สามารถสืบค้นหาได้ในขณะนี้

แต่หากนับเฉพาะคู่สัญญากับหน่วยงานภายใต้สังกัด กระทรวงคมนาคม เช่น กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท เป็นต้น พบว่า หจก.บุรีเจริญฯ เป็นคู่สัญญา ระหว่างปีงบประมาณ 2558-2564 อย่างน้อย 132 โครงการ รวมวงเงิน 1,943.78 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • ปีงบประมาณ 2564 อย่างน้อย 1 โครงการ วงเงิน 79.92 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2563 อย่างน้อย 25 โครงการ วงเงิน 460.14 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2562 อย่างน้อย 22 โครงการ วงเงิน 348.38 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2561 อย่างน้อย 23 โครงการ วงเงิน 611.60 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2560 อย่างน้อย 19 โครงการ วงเงิน 266.87 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2559 อย่างน้อย 39 โครงการ วงเงิน 147 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2558 อย่างน้อย 3 โครงการ วงเงิน 29.88 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีนายศักดิ์สยาม เคยชี้แจงประเด็นเหล่านี้แล้ว สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า ข้อกล่าวขายหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ กับคนใกล้ชิดคือนายศุภวัฒน์นั้น ยอมรับว่าเป็นเพื่อนสนิทของตน และมีการโอนเงินขายหุ้นจริง 3 ครั้ง ครั้งแรก 35 ล้านบาท ครั้งที่สอง 35 ล้านบาท และครั้งที่สาม 49 ล้านบาท รวม 119.5 ล้านบาท

นายศักดิ์สยาม ชี้แจงอีกว่า ส่วนข้อกล่าวหาซื้อขายหุ้นแต่ไม่ยื่นหลักฐานนั้น ยืนยันว่าการซื้อขายดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งมีหลักฐานชี้แจงให้เห็นในวันนี้แล้ว และเห็นได้ว่าตนดำเนินการตั้งแต่ 28 มี.ค. 2561 แสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้ตัดขาดจากตนแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดอีก

ส่วนการไม่รายงานในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. นั้น นายศักดิ์สยาม ชี้แจงว่า กิจกรรมทั้งหมดที่ดำเนินการ เป็นเรื่องที่ตนยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่ง รมว.คมนาคม โดยเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2562 โดยตามกฎหมาย ป.ป.ช. กำหนดให้ยื่นทรัพย์สินขณะนั้นภายใน 30 วัน แล้วนำไปแจ้ง ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นจึงไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.