ถล่มงบกองทัพ"ยุทธพงศ์" อัด "เรือดำน้ำ-UAV-F35A " เกินจำเป็น-ซ้ำเติมวิกฤติ

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันสุดท้ายยังเป็นการอภิปรายเน้นย้ำความผิดพลาดของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม 

โดยนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายในประเด็นการจัดซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์ ของกองทัพโดยเริ่มที่การจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือว่า กรณีที่พล.ออ.ประยุทธ์ ระบุว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่ขายเรือดำน้ำราคาถูกที่สุด และเป็นโปรซื้อ2ถาม1นั้น

แต่จากการตรวจสอบสัญญาจัดซื้อของกองทัพเรือที่นำมาให้กับกรรมาธิการ กลับพบว่า  เป็นการจัดซื้อ3ลำ เป็นเงิน6,548ล้านหยวน รวมทั้งหมดคิดเป็นเงินในการจัดซื้อ36,000 ล้านบาท ซึ่งผิดกับที่พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

อีกทั้งขณะนี้ไทยมีการจัดซื้อเรือดำน้ำชนิดS26Tไปแล้ว1ลำ ทั้งที่ไม่มีเครื่องยนต์ แสดงให้เห็นว่าการทำสัญญาจัดซื้อไม่มีความรอบคอบระมัดระวังในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ 
ทั้งนี้หลังจากที่การไทยยืนกลับไปว่า ต้องการเครื่องยนต์จากเยอรมันและขอให้ทางการจีนดำเนินการให้ได้ภายใน60วันซึ่งจะครบกำหนดในวันที่9ส.ค.2565 ขอถามว่าจะไปห่เครื่องยนต์จากไหนมาให้เพราะก่อนหน้านี้เยอรมันยืนยันว่าจะไม่ขายเครื่องยนต์ให้ทางการไทย 

นอกจากนี้เมื่อตรวจสอบในสัญญาจัดซื้อพบว่า ในข้อที่5.2ระบุไว้ว่า ถ้าฝ่ายจีนมาสามารถจัดซื้อเรือดำน้ำให้เสร็จสมบูรณ์ตามสัญญานี้ทางการไทยมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้ โดยไม่ต้องสียค่าปรับและสามารถเรียกเงินจำนวน7พันล้านที่จ่ายไปในเรือลำแรกคืนได้ แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาทั้งที่สัญญาเปิดช่อง

นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวว่า ในส่วนของเรือดำน้ำอี2ลำที่ยังไม่ได้จัดซื้อเป็นมูลค่า22,500ล้านบาท อีกทั้งต้องเสียค่าโง่ไป21,722ล้านบาทจาก44,222ล้านบาทที่ไทยจ่ายไปแล้วทั้งที่ไทยยู่ในสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จะต้องรับผิดชอบค่าโง่ที่เกิดขึ้น

ขณะที่การจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับหรือUAVของกองทัพเรือ พร้อมระบบและอุปกรณ์ติดตั้ง3ลำ ซึ่งมีการจัดซื้อในปีงบประมาณ2565จำนวน4,100ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กระบวนการจัดซื้อได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว

โดยทร.ได้จัดซื้อUAVจากบริษัทELbit(อิราเอล) ยี่ห้อHermes900 แต่กลับเป็นUAVเปล่าที่ไม่มีอาวุธแล้วแบบนี้จะไปรบกับใคร

แสดงให้เห็นว่า ทร.ต้องการเพียงใช้ใช้งบประมาณโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์อะไรเลย เพราะราคาUAVลำนึงมีราคาสูงถถึง1,400ล้านบาท  นอกจากนี้ยังพบว่า UAVรุ่นที่มีการจัดซื้อถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพเนื่องจากเกิดเหตุตกบ่อยครั้ง

 ตนจึงขอให้พล.อ.ประยุทธ์เข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสความคุ้มค่าในการจัดซื้อเพราะทราบว่าขณะนี้กระบวนการยังไม่ได้ทำสัญญาณอีกทั้งเป็นการจัดซื้อที่มีมูลค่าเกิน500ล้านซึ่งต้องขออนุญาตจากทางกลาโหม

ฉะนั้นพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะรมว.กลาโหมจะต้องทบทวนความโปร่งใสในเรื่องนี้

 

นายยุทธพงศ์ ยังอภิปรายถึงการจัดซื้อเครื่องบินรบยุทธศาสตร์F35A Gen5 ของกองทัพอากาศที่มีการระบุในร่างพ.ร.บ.งบปีปัจจุบัน โดยทอ.อ้างเหตุผลความจำเป็น5ข้อ ถือว่าไม่เหมาะสมในสภาวะเช่นนี้

เพราะจากข้อมูลหนี้สาธารณะไทย ณ เดือนพฤษภาคม2565 พบว่า ขณะนี้ไทยมีหนี้สาธารณะรวมทั้งสิ้น10.12ล้านล้านบาท ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ต้องขยายเพดานเงินกู้จากร้อยละ60เป็นร้อยละ70 การดำเนินการดังกล่าวจึงถือเป็นการดำนเนินการที่ขัดต่อวินัยการเงินการคลัง

อีกทั้งยังพบว่าการจัดซื้อดังกล่าวเป็นการจัดซื้อที่แพงเกินจริง เพราะมีการจัดซื้อเครื่องบินเปล่าที่มีมูลค่าสูงถึง2,900ล้านบาท และรวมในส่วนของทั้งเครื่องบินและระบบอาวุธก็จะมีมูลค่าสูงถึง4,100ล้านบาทต่อลำ ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายในการบิน1.30ล้านบาทต่อชั่วโมง ทั้งที่ปัจจุบันเราใช้F16ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพียง3แสนบาทต่อชั่วโมง  

นอกจากนี้ในปัจจุบันเงินบาทอยู่ในสภาที่อ่อนค่าสิ่งที่จะตามมาคือยิ่งเงินบาทอ่อนค่าราคาเครื่องบินก็จะยิ่งแพงตามไปด้วย

"จากเอกสารงบทอ. รวมถึงชี้แจงต่อกมธ.งบประมาณ พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผบ.ทอ. ยังยืนยันต่อหน้ากมธ.ว่า ทอ.จัดซื้อF35A  2ลำเป็นมูลค่า7,400 ล้านบาทโดยเป็นเพียงเครื่องเปล่า ขอถามว่าจะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนี้จากไหนมาซื้อ"

นายยุทธพงศ์ยังอภิปราย ที่ผ่านมาทอ.ไม่สามารถจัดการงบคงค้างที่ขณะนี้มีอยู่รวม1,283ล้านบาทขอถามว่า ทอ.จะเร่งจัดซื้อF35A  เพื่ออะไร

สอดคล้องกับ  พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล เสธ.ทอ.  ที่ออกมาระบุผ่านสื่อมวลชลว่า การจัดซื้อF35A เป็นการจัดซื้อทดแทน หากไม่ผ่านก็เสนอต่อในงบปีหน้า แสดงให้เห็นถึงความไม่จำเป็นเร่งด่วนในการจัดซื้อ ด้วยเหตุนี้ตนขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้ทอ.ถอนเรื่องดังกล่าวออกจากงบประมาณประจำปี2566เพื่อนำเงินจำนวนนี้ไปช่วยเหลือประชาชนต่อไป

ดังนั้นจึงเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดสภาวะผู้นำไร้คุณธรรมจริยธรรม 

“ผมจึงไม่อาจไว้วางใจพล.องประยุทธ์ จันทร์โอชาบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้”