ซักฟอกเดือด! พท.อัด”ชัยวุฒิ” โยงชู้สาว-ภรรยาสุดช้ำ ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง

ซักฟอกเดือด! พท.อัด”ชัยวุฒิ” โยงชู้สาว-ภรรยาสุดช้ำ ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง

ศึกซักฟอกเดือด! "ชนก" เพื่อไทย อัด”ชัยวุฒิ” โยงปมชู้สาว-ภรรยาสุดช้ำ ชี้พฤติกรรมส่อขัดจริยธรรมร้ายแรง ด้าน"วันนิวัติ" อัดเอื้อพวกพ้อง-ตั้งคนสนิทนั่งที่ปรึกษา ขณะที่รมต.ดีอีเอส ด่า "ต่ำ"กลางสภา

ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการอภิปรายไม่วางใจ 11 รัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 อภิปราย ช่วงเย็นเป็นไปอย่างดุเดือด

เมื่อ น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย อภิปรายนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเพื่อสังคม ในข้อกล่าวหาประเด็นความประพฤติจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย มีพฤติกรรมเสื่อมเสีย ทางศีลธรรมอันดี  ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงช่วงนี้ น.ส.ชนก ได้นำภาพซึ่งเป็นแคปมาจากเฟซบุ๊คส่วนตัวของ น.ส.กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภรรยานายชัยวุฒิ ที่โพสต์ข้อความระบุถึงปัญหาครอบครัว ขณะที่เนื้อหาอภิปรายระบุถึงปมชู้สาว

ทำให้ น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์  ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นประท้วงเนื่องจากเห็นว่า เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ได้เกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐมนตรี และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อาจกระทบไปถึงครอบครัวด้วย

น.ส.ชนก ยืนยันว่า ได้ขออนุญาตนำภาพดังกล่าวมาแสดงต่อที่ประชุมแล้ว ขณะที่นายชัยวุฒิ ก็ทราบดีว่าจะมีการอภิปรายข้อกล่าวหาดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. สิ่งที่ตนพูดถึง ตนพูดในฐานะที่เป็นเพื่อนกับ น.ส.กานต์กนิษฐ์ ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่า น.ส.กานต์กนิษฐ์ ก็นั่งอยู่ ณ ที่นี้ด้วย 

แต่ถูกนางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ประท้วงอีกครั้งว่า ตนไม่ขัดข้อง หากจะมีการอภิปรายในเรื่องจริยธรรม แต่ไม่ควรพูดพาดพิงถึงครอบครัว หรือบุคคลที่สาม โดยเฉพาะบุตรของน.ส.กานต์กนิษฐ์และนายชัยวุฒิ จึงขอให้ประธานพิจารณาว่า เป็นเรื่องสมควร หรือเหมาะสมหรือไม่ หากเด็กมาเห็นคลิปในสภาแห่งนี้

ซักฟอกเดือด! พท.อัด”ชัยวุฒิ” โยงชู้สาว-ภรรยาสุดช้ำ ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง

 

 

แต่นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุมวินิจฉัยว่า ยังเป็นไปตามข้อกล่าวหาที่ยื่นญัตติ แต่ขอให้ น.ส.ชนก ระมัดระวังประเด็นที่จะไปกระทบบุคคลที่ 3 และคำนึงถึงความรู้สึกของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

โดย น.ส.ชนก ยืนยันว่า ตนอภิปรายในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่ง และยังเป็นไปตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 76 วรรคสาม ที่ใช้กำหนดประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2564 ซึ่งการดำเนินการของนายชัยวุฒิ เป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อที่ 10 ของประมวลจริยธรรม  ที่ระบุว่า ข้าราชการการเมือง ต้องดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดี และรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นบรรยากาศเป็นไปอย่าดุเดือดเมื่อ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลสลับกันลุกขึ้นประท้วงการอภิปรายของ น.ส.ชนก โดยย้ำว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และอาจไปกระทบบุคคลที่เกี่ยวข้อง 

ขณะที่นายศุภชัย ได้พยายามกำชับในเรื่องการอภิปรายอยู่เป็นระยะ แต่บรรยากาศเป็นไปอย่างดุเดือดเมื่อ น.ส.ชนก โชว์ภาพถ่ายกลุ่ม ซึ่งมีบุคคลที่สามปรากฎในภาพร่วมกับนายชัยวุฒิด้วย 

ทำให้ ส.ส.รัฐบาล ลุกขึ้นประท้วงอีก เนื่องจากเป็นภาพที่ไม่ได้ขออนุญาต ก่อนที่นายศุภชัยจะกำชับอีกครั้งว่า รูปภาพที่จะแสดงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้จะไม่ต้องขออนุญาตประธานก็จริง แต่ขอให้ระมัดระวังการพาดพิงบุคคลที่ 3 หากมีการลงในรายละเอียด ตนจะขอใช้อำนาจประธานสภา ในการสั่งยุติการอภิปราย

ขณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน อาทิ นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย วิปฝ่ายค้าน ได้ขอหารือประธาน โดยระบุว่า ตนพยายามที่จะหาทางออกในเรื่องนี้เนื่องจากรู้จักทุกฝ่าย และต้องการจะชี้ให้เห็นว่า มีความพยายามเข้าไปก้าวก่ายภายในกระทรวง การอภิปรายดังกล่าวเหมือนมีความพยายามให้ น.ส.ชนกเป็นคนผิด ทั้งที่จริงเป็นความผิดของนายชัยวุฒิ 

จากนั้นยังคงมีการประท้วงสลับกันไปมา โดย น.ส.ชนก กล่าวยืนยันว่า ทั้งภาพและข้อมูลที่นำมาอภิปราย จะขอรับผิดชอบทุกอย่าง นี่เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อให้พี่น้องประชาชนและเพื่อนสมาชิกได้ร่วมกันพิจารณาว่า นายชัยวุฒิเหมาะสมที่จะเป็นรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ ตนจึงมิอาจไว้วางใจนายชัยวุฒิ บริหารประเทศต่อไปได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนจบการอภิปราย น.ส.ชนกได้อ่านกลอนว่า “อันตัณหาราคะนั้น แสนสาหัส  ถ้าใครตัดเสียได้ ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชา หาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียว มันเกี่ยวกวน”

ทำให้นายชัยวุฒิ ซึ่งนั่งอยู่ในห้องประชุม ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่า ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกคนที่ให้เกียรติตน ได้ช่วยกันประท้วงและมีการควบคุมการอภิปราย จริงๆ ตนไม่ได้ประสงค์ให้มีการปิดกั้น อยากให้พูดให้หมด รูปภาพจะเปิดก็เปิดไปเถอะ ของมันไม่จริงมันก็ไม่มีอะไร ไม่ได้กลัวอยู่แล้ว

แต่ส่วนตัวคิดว่าการอภิปรายเช่นนี้มันไปไกลไปหน่อย และมาตรฐานต่ำ มันมีเรื่องให้พูดตั้งเยอะ การพูดในเรื่องที่มันต่ำคนพูดก็จะต่ำไปด้วย  ภาพมันจะติดตัวท่านไป

“คิดว่าคนที่ให้ข้อมูลท่านพูดรื่องนี้ คงไม่ได้หวังดีกับท่าน เพราะนอกจากภาพที่ไม่ดีจะติดตัวไปแล้ว ก็จะมีคดีติดตัวไปด้วย คือคดีหมิ่นประมาท ไปฟังคนโน้นคนนี้ว่ามา มโนไปอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเอามาพูดในสภาฯ ข้อเท็จจริงไม่มี สุดท้ายไปสู้กันในศาล ไม่ใช่ผมฟ้อง แต่เป็นคนที่เสียหายเขาฟ้อง ทุกคนที่รู้จักผมดี จะรู้ว่าผมเป็นคนยังไง คุณไม่รู้จัก ก็อย่ามาอภิปรายเรื่องของผม”

นายชัยวุฒิ ชี้แจงข้อกล่าวหาก่อนหน้านี้ด้วยว่า ทีมงานที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือทีมงาน บางคนมาช่วยโดยไม่มีค่าตอบแทน แต่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องนั้นๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ทุกกระทรวงก็ทำเช่นนี้ ซึ่งตนคิดว่าเป็นประโยชน์ และทำได้ เว้นแต่จะมีการทุจริต ก็ขอให้ไปฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามกฎหมายต่อไป

ซักฟอกเดือด! พท.อัด”ชัยวุฒิ” โยงชู้สาว-ภรรยาสุดช้ำ ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น นายวันนิวัติ สมบูรณ์  ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายนายชัยวุฒิ ประเด็นการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ในกรณีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (PDPA) และศูนย์ดิจิทัลชุมชน ที่อาจเข้าข่ายล็อกสเปค 

กฎหมาย PDPA เป็นกฎหมายที่ดี แต่ รมว.ดีอีเอส นำมาใช้ ขณะที่ยังไม่มีความพร้อม เอื้อประโยชน์ให้บัดดี้ ซึ่งตนหมายถึง เพื่อน คนสนิท โดยนายชัยวุฒิเซ็นแต่งตั้งที่ปรึกษา 7 ท่าน

หนึ่งในนั้น คือเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน ตั้งแต่ชั้น ม.1 มีความสนิทแนบแน่นอย่างมาก ที่สำคัญเป็นผู้บริหารเจ้าของบริษัทไอที เป็นที่ปรึกษา เพราะเมื่อตั้งเป็นที่ปรึกษาแล้ว ที่ปรึกษาท่านนี้ยังไปเป็นกรรมการในสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติแผนการดำเนินงาน แผนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงาน

แต่เมื่อกฎหมาย PDPA ไม่พร้อม ก็ต้องมีการประชาสัมพันธ์ โดยตั้งงบประมาณไว้ 220 ล้านบาท แต่มีการประมูลได้ที่ 219 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการล็อกสเปคศูนย์ดิจิทัลชุมชน เอื้อประโยชน์พวกพ้อง เริ่มจากปี 2563 ทาง สดช.ทำสัญญากับบริษัท กสท. โทรคมนาคม (CAT) จัดทำศูนย์ดิจิทัลชุมชน มีการเซ็นสัญญา 250 ศูนย์ วงเงิน 277 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่เสร็จมบูรณ์ ต่อมาในปี 2564 มีการตั้งงบอีก 500 ล้านบาท เพื่อจะตั้งศูนย์ฯ อีก 500 แห่ง 

นายวันนิวัติ กล่าวต่อว่า สิ่งที่แปลกประหลาดคือ ในทีโออาร์ไม่มีการระบุว่า ต้องเป็นของใหม่ และยังระบุด้วยว่า ให้ใช้เวลา 15 วัน เพื่อให้ได้ศูนย์ฯ ในกลุ่มแรก 250 ศูนย์ฯ จึงมีเพียงผู้รับเหมาเก่าเท่านั้น ที่จะเปิดรับตรงนี้ได้ เพราะผู้รับเหมาใหม่คงจัดเตรียมไม่ทัน

อย่างไรก็ตาม วันนี้เราควรมีศูนย์ฯ 750 ศูนย์ฯ ทั่วประเทศ แต่เรามีเพียง 500 ศูนย์ฯ ถามว่าเงิน 250 ล้านบาทหายไปไหน ประชาชนเสียประโยชน์ และเกณฑ์การพิจารณา ปกติกรมบัญชีกลางจะใช้เกณฑ์ราคาเป็นตัวกำหนด แต่กลับใช้เกณฑ์ประสิทธิภาพต่อราคา ซึ่งแปลกประหลาด เพราะทีโออาร์ รอบที่ 2 มีการบิดการประมูล โดยมีบริษัทเข้าร่วมประมูล 4 บริษัท ซึ่ง 3 ใน 4 บริษัท เป็นเอกสารจากธนาคารเดียวกัน และ 2 ใน 4 บริษัท มีเลขต่อกัน ชี้ชัดว่าท่านเอื้อประโยชน์ผู้รับเหมาเก่า เพื่อให้ได้งานใน 250 ศูนย์ฯ แรก