"พนิต"ขู่โหวตสวนซักฟอก "รมต.ทุจริต" อัดล้มเหลวแก้ปัญหาปากท้อง-เศรษฐกิจ

"พนิต"ขู่โหวตสวนซักฟอก "รมต.ทุจริต" อัดล้มเหลวแก้ปัญหาปากท้อง-เศรษฐกิจ

"พนิต" เผยขอรอดูรัฐมนตรีชี้แจงซักฟอก ขู่โหวตสวนรัฐมนตรีส่อทุจริต อัดล้มเหลวแก้ปัญหาปากท้อง-เศรษฐกิจ ทำภาระค่าครองชีพพุ่

.นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความผ่านเพจส่วนตัว Panich Vikitsreth - พนิต วิกิตเศรษฐ์  เรื่อง "โหวตเพื่ออนาคตชาติ อย่ายกมือเพราะกล้วย"ว่า  ช่วงก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่างวันที่ 19-22 ก.ค. และจะมีการลงมติกันในวันเสาร์ที่ 23 ก.ค.นี้ มีกระแสข่าวเรื่องการล็อบบี้โดยมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกันต่างๆ นานา เพื่อรวบรวมเสียงให้ฝั่งตัวเอง ไม่ว่าจากทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล 

สำหรับตนแล้ว การอภิปรายไม่ไว้วางใจถือเป็นกลไกตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ เป็นเวทีที่ให้ ส.ส.ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ว่าล้มเหลว หรือมีเรื่องทุจริตไม่ชอบมาพากลอะไรหรือไม่ 

ขณะที่การตัดสินใจว่าจะยกมือไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจให้กับนายกฯ หรือรัฐมนตรีคนใด ถือเป็นดุลพินิจของ ส.ส.แต่ละคน เพราะผู้แทนทุกคนมีเอกสิทธิตามรัฐธรรมนูญ  ไม่ต้องอยู่ภายใต้การครอบงำของใคร

ส่วนเรื่องการลงมติไปในทิศทางใดนั้น ตนเห็นว่า ส.ส.แต่ละท่าน ไม่ควรรีบสรุปว่าลงมตินายกฯ หรือ รัฐมนตรีคนใด  ตั้งแต่ยังไม่เห็นข้อมูลเอกสารหลักฐานของฝ่ายค้าน หรือแม้แต่คำชี้แจงของรัฐมนตรี เพราะมันเป็นการทำให้ประชาชนสิ้นหวังกับกลไกตรวจสอบดังกล่าว

เราควรรอดูข้อมูลจากฝ่ายค้านเสียก่อนว่า มีน้ำหนักเพียงใด และรัฐมนตรีแต่ละคนสามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้หรือไม่ แล้วจึงมาตัดสินใจว่าจะโหวตอย่างไร

อย่าใช้ความเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล  หรือเกมการเมือง มาเป็นหลักในการตัดสินใจอย่างเดียว โดยไม่ได้สนข้อมูลใดๆ เพราะหากมีการบริหารล้มเหลว และส่อเค้าทุจริตคอร์รัปชั่น  มันเท่ากับเราหลับหูหลับตาให้กับสิ่งเหล่านี้ ไม่ต่างอะไรกับการส่งเสริมให้คนพวกนี้กระทำผิดโดยที่ไม่มีใครทำอะไรได้

ในส่วนของตนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะโหวตให้ใครอะไร อย่างไร แม้จะมีหลายฝ่ายพยายามเข้ามาล็อบบี้ขอคะแนนเสียง

แต่หลักการของตนคือ จะไม่มีทางโหวตไว้วางใจให้กับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการต่างๆ ทั้งที่มีการเผยแพร่หลักฐานออกมาก่อนหน้าการอภิปรายและระหว่างการอภิปราย 

เรื่องความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เป็นอีกเรื่องที่จะไม่ยอมปล่อยผ่านเช่นเดียวกัน เพราะมันเท่ากับหลิ่วตาให้พี่น้องประชาชนต้องทนทุกข์ต่อไป รวมทั้งไม่ก้มหน้าก้มตายกมือไว้วางใจให้กับคนที่ถูกมองว่าเป็นผู้สร้างปัญหาให้ประเทศ

การปล่อยให้ชาวบ้านรับภาระค่าครองครองชีพที่สูงขึ้น ทั้งราคาน้ำมัน ทั้งราคาสินค้าอุปโภคบริโภคตลอดจนนโยบายที่เป็นการเพิ่มภาระและซ้ำเติมประชาชน

และมันไม่เห็นวี่แววแห่งการฟื้นตัว โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับคาดการณ์จีดีพีทั้งปี 2565 ลงจากระดับ 3.5 – 4.5% เหลือ 2.5 – 3.5% หรือค่ากลางที่ 3 %

ขณะที่การฟื้นตัวของไทย ยังช้าเป็นอันดับท้ายๆ ของภูมิภาคอาเซียน โดยฟิลิปปินส์อยู่ที่ 8.3%  เวียดนาม 5.03% อินโดนีเซีย 5.01% มาเลเซีย 5% สิงคโปร์ 3.4% ในขณะที่เราอยู่ที่ 2.2% 

ในส่วนของเงินเฟ้อของไทยเดือน เดือน พ.ค.อยู่ที่ 7.10% ถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 13 ปี

จำนวนหนี้สินเฉลี่ยของครัวเรือนในปี 2564 อยู่ที่ 205,679 บาท เพิ่มขึ้น 25.4% เมื่อเทียบกับหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่ 164,005 บาท ในปี 2562 ขณะที่ตัวเลขหนี้สาธารณะของไทย มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จนเลขหนี้ทะลุ 60% ของจีดีพี ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ประเทศศรีลังกาเป็นกรณีศึกษาที่เราควรตระหนัก หากเรายังดื้อดึงจะเดินในแนวเดิมๆ ต่อ อย่าคิดว่าจุดจบจะเป็นแบบนั้นไม่ได้

3 ปีผ่านไป ประชาชนหมดความศรัทธากับพวกเรา การอภิปรายครั้งนี้พวกเขาจับตาและจะพิสูจน์ ส.ส.แต่ละคนว่า จะยกมือเพื่ออนาคตของชาติ หรือจะยกมือเพราะกล้วยเพราะโดนครอบงำ 

"ผมว่า มันหมดเวลาแล้วที่ ส.ส.จะเล่นเกมการเมือง ไม่ว่าสังกัดพรรคไหน และมันถึงเวลาแล้วที่เราต้องโหวตจากจิตสำนึกความเป็นผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนประชาชน  ไม่ว่ารัฐมนตรีท่านใดจะเป็น “คนดี” ขนาดไหน หากบริหารเศรษฐกิจประเทศล้มเหลว และยังปล่อยให้มีเรื่องทุจริตผมจะไม่ยกมือให้" นายพนิต กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในส่วนของนายพนิต  ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่แล้วได้โหวต "งดออกเสียง" ซึ่งถือว่าสวนมติพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์