“นักเลือกตั้ง”ดีลย้ายค่ายพรรคร่วม-ฝ่ายค้าน วิกฤติ “3 ป.-พลังประชารัฐ”
วิกฤติ “3 ป.-พลังประชารัฐ” ปมขัดแย้งการเมือง ไร้ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนพรรค “นักเลือกตั้ง”เปิดดีลย้ายค่ายพรรคร่วม ย้ายขั้วฝ่ายค้าน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าประสงค์ของการก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คือการสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่อง
ภายหลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ต้องถือว่า “ขุนพล” พลังประชารัฐ ทำสำเร็จ แม้จำนวน ส.ส.จะได้มาน้อยกว่าพรรคเพื่อไทย แต่มากพอที่จะรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้
ทว่า จุดอ่อนของพรรคพลังประชารัฐอยู่ที่ “นักเลือกตั้ง” ต่างขั้ว-ต่างก๊ก-ต่างอุดมการณ์ มารวมการเฉพาะกิจ เพื่อเป็นนั่งร้านให้ “ขุนทหาร” อยู่ในอำนาจต่อ หลังสิ้นสุดยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
โดย “นักเลือกตั้ง” หลายคนเข้ามายังพรรคพลังประชารัฐ เพราะสบช่องว่ามีโอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาลมากกว่าพรรคอื่น จึงหล่นวลี “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”
ขณะที่ “นักเลือกตั้ง” บางคนเข้ามาเพราะต้องการเคลียร์ “คดีการเมือง-คดีทุจริต” เพื่อฟอกตัวให้กับตัวเอง แต่มีเพียงบางคนที่สมหวัง และมีหลายคนที่ยังโดนดำเนินคดี
เมื่อที่มาของ “นักเลือกตั้ง” ต่างขั้ว-ต่างก๊ก-ต่างอุดมการณ์ จึงไม่แปลกที่ ภายหลังจัดตั้งรัฐบาลได้ กว่า 3 ปี พรรคพลังประชารัฐจึงมีแต่ข่าวความขัดแย้ง การแย่งชิงอำนาจกันเองภายในพรรค
เริ่มตั้งแต่การปลด “ทีม 4 กุมาร” อุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเลขาธิการพรรค สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรองหัวหน้าพรรค กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตโฆษกพรรค พ้นจากตำแหน่งกรรมการบริหาร และตำแหน่งรัฐมนตรี
ก่อนที่จะขยับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากตำแหน่งประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเต็มตัว และเป็นปฐมบท ความขัดแย้งของพี่น้อง “3 ป.”
ยุทธศาสตร์เดิมของ “3 ป.” คือการแบ่งแยก แล้วร่วมกันปกครอง โดย พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ดูแลภาพรวมการบริหารประเทศ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ดูแลงานด้านความมั่นคง คุมทหาร-ตำรวจ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ดูแลงานราชการ-ท้องถิ่น
หลังจัดตั้งรัฐบาล มีเพียง บิ๊กป้อม ประวิตร ที่โดนริบอำนาจไม่ให้ดูแลงานด้านความมั่นคง บิ๊กตู่ ประยุทธ์ กลับเข้ามาคุมทหาร-ตำรวจเองทั้งหมด ตามรายการ “คุณขอมา” ให้ลดบทบาทพี่ใหญ่ 3 ป.
ทำให้ “ทีมหลังบ้าน” ของบิ๊กป้อม ต้องวางเกม-วางแผนยึดพรรคพลังประชารัฐ เพื่อกลับมามีอำนาจต่อรองทางการเมือง ซึ่งทีมบิ๊กป้อมทำสำเร็จ ค่อยๆ รุกคืบ เข้ายึดพรรค โดยจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ การแต่งตั้ง “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค
ต้องยอมรับว่า สไตล์กล้าได้-กล้าเสียของ “ร.อ.ธรรมนัส” ได้ใจ ส.ส.พลังประชารัฐ ไม่น้อย แม้หลายคนจะมีก๊ก-มีกลุ่มสังกัดอยู่แล้ว แต่ถูกใจการบริหารของเลขาฯพรรค ส่งผลให้ธรรมนัสรวบรวม ส.ส. พลังประชารัฐมาสนับสนุนตนเองได้จำนวนมาก
จนกระทั่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือน ก.ย.2564 ธรรมนัสภายใต้เงาของประวิตร มีขุมกำลังที่พรั่งพร้อม จนคิดการณ์ใหญ่โหวตล้มนายกฯ ประยุทธ์ โดยมีกระแสข่าวพร้อมส่งนายป้อมขึ้นแทนนายกฯ แทน
ทว่า แผนรั่วไปถึงหูประยุทธ์ จึงแก้เกมด้วยการผนึกกับ “บิ๊กเนม” ประสาน “มือที่มองไม่เห็น” สกัดความเคลื่อนไหวของ “ธรรมนัส” ก่อนจะผ่านศึกซักฟอกมาได้ ต่อด้วยการปลด “ธรรมนัส” พ้นเก้าอี้รัฐมนตรี ทำให้บรรยากาศภายในพรรคพลังประชารัฐมีแต่ความขัดแย้ง
แพ้ศึกเลือกตั้งซ่อม-ผู้ว่าฯกทม.
เมื่อไร้ความสามัคคีภายในพรรคพลังประชารัฐ มีแต่กระแสข่าวแย่งเก้าอี้ แย่งชามข้าวกันเอง ย่อมส่งผลเสียต่อคะแนนนิยมของพรรค โดยวัดได้จากศึกเลือกตั้งซ่อม 3 สนามที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐแพ้รวด
ไล่ตั้งแต่การเลือกตั้งซ่อม จ.สงขลา “อนุกูล พฤกษานุศักดิ์” พรรคพลังประชารัฐ แพ้ “น.ส.สุภาพร กำเนิดผล” พรรคประชาธิปัตย์ เลือกตั้งซ่อม จ.ชุมพร “ชวลิต อาจหาญ” พรรคพลังประชารัฐ แพ้ “อิสรพงษ์ มากอำไพ” พรรคประชาธิปัตย์
ยิ่งสนามเลือกตั้งซ่อม กทม. ยิ่งสะท้อนชัดเจนว่า คะแนนนิยมของพลังประชารัฐลดลงจากการเลือกตั้งปี 2562 อย่างมาก โดย “สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ” พรรคพลังประชารัฐ (ภรรยา สิระ เจนจาคะ แชมป์เก่า) ได้คะแนนเพียง 7,906 คะแนน แพ้ “สุรชาติ เทียนทอง” พรรคเพื่อไทย ที่ได้ 29,416 คะแนน ขาดลอย
ต่อเนื่องด้วยการพ่ายยับในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.-ส.ก. แม้พลังประชารัฐจะไม่ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. แต่รับรู้กันดีว่าตัวแทนของ “3 ป.” คือ “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯกทม. ซึ่งคะแนนรั้งท้ายในอันดับ 5 ได้มาแค่ 2 แสนเศษ
เช่นเดียวกับสนาม ส.ก. พรรคพลังประชารัฐ ส่งผู้สมัคร ส.ก.ครบ 50 เขต แต่กลับชนะการเลือกตั้งเพียง 2 เขตเท่านั้น ผิดกับพรรคเพื่อไทยที่กวาดมาได้ถึง 20 เขต
ผลจากสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส. และสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.-ส.ก. สะท้อนถึงคะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐที่ลดลงอย่างหนัก แม้จะพยายามอธิบายถึงการออกมาใช้สิทธิ์ของประชาชน ที่แตกต่างจากการเลือกตั้งใหญ่ก็ตาม
วิกฤติศรัทธา “ประชาชน”
ขณะเดียวกัน ปรากฎการณ์ของ “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นซอฟพาวเวอร์ที่ทิ่มแทงตรงไปที่ตัวของนายกฯ ประยุทธ์ ซึ่งมีสไตล์การทำงานแตกต่างกันสุดขั้ว ภาพจำของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ "ทหาร" ที่มีลำดับสายบังคับบัญชา สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงาน ขณะที่ภาพจำของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ คือนักปฏิบัติ ลงพื้นที่เมื่อเกิดปัญหา
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มี ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” เป็นคู่เปรียบ จึงยากมากขึ้น ที่จะกอบกู้ความเชื่อมั่นที่เริ่มกลายเป็นกระแสลบถาโถมเข้าใส่
มิหนำซ้ำ วิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่เคลื่อนมาขนาบทุกด้าน ถล่มประเทศไทย โดยไม่มีสัญญาณว่าจะคลี่คลายในเร็ววัน ยิ่งทำให้นายกฯ ประยุทธ์ ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งทำให้วิกฤติของผู้นำยิ่งขยายวงกว้างขึ้น
"ผิดสัญญา"หาเสียงแล้วไม่ทำ
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ ยังโดนขั้วตรงข้าม ขุดนโยบายหาเสียงที่เคยสัญญาไว้กับประชาชน แต่กลับไม่ได้ทำตามที่หาเสียงเอาไว้ อาทิ ค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท ปริญญาตรี เงินเดือน 2 หมื่น อาชีวะ เงินเดือน 1.8 หมื่น ยกเว้นภาษีเด็กจบใหม่ 5 ปี ยกเว้นภาษีให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ 2 ปี และลดภาษี 10% บุคคลธรรมดา
ในทางการเมือง หากไม่ดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้ ย่อมส่งผลด้านลบต่อพรรคการเมืองทันที เช่นเดียวกับที่พลังประชารัฐ กำลังโดนโจมตีอย่างหนัก เพราะนโยบายหลักไม่ถูกนำไปปฏิบัติจริง
แม้จะเริ่มมีความพยายามแต่งหน้าปะแป้ง ด้วยการผลักดันนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ แต่ดูเหมือนจะสายไปแล้ว เนื่องจากเกิดกระแสทวงถามก่อนจึงค่อยคิดขยับทำ ไม่ได้จริงใจจะทำตามที่สัญญาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม
"ไร้ยุทธศาสตร์" ขับเคลื่อนพรรค
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาล ระหว่าง “3 ป.” ที่มีสถานะเปรียบเหมือนเจ้าของพรรค ส่งผลให้บรรดาก๊ก ก๊วน การเมืองในพรรคต่างฝ่ายต่างเดิน
สภาพภายในจึงไร้ความสามัคคี แม้ บิ๊กป้อม “ประวิตร” จะพยายามกระจายอำนาจ แบ่งงานให้ “แกนนำพรรค” ช่วยกันขับเคลื่อน แต่ในทางปฏิบัติบรรดาแกนนำที่ได้รับมอบหมายงาน แทบขับเคลื่อนงานด้วยตัวเองไม่ได้
โดยเฉพาะความพยายามรีแบรนด์พรรคพลังประชารัฐให้กลับมามีความนิยม มี “แกนนำพรรค” หลายคนคิดอีเวนท์-คิดรูปแบบนำเสนอหัวหน้าพรรค แต่“คนข้างกาย” พล.อ.ประวิตร กลับใส่เกียร์ว่าง ไม่ขยับขับเคลื่อน
ว่ากันว่า มี “แกนนำพรรค” ขอเบิกงบประมาณเพื่อจัดทีมรีแบรนด์พรรค แต่กลับโดนคนข้างกาย หัวหน้าขัดขวาง ไม่ยอมให้เบิกงบประมาณมาจับจ่ายใช้สอย แถมยังฟ้องนาย ขายเพื่อน กล่าวหาว่าเบิกงบประมาณเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง
บาดแผลภายในพรรคพลังประชารัฐ นานวันยิ่งบาดลึก ไม่มีใครไว้ใจใคร ทำให้พรรคไร้ยุทธศาสตร์ ยากที่จะพลิกฟื้นคะแนนนิยมให้กลับมาดีอย่างเก่า
“นักเลือกตั้ง”เปิดดีลย้ายพรรค
สถานการณ์นี้ ส่งผลให้ “นักเลือกตั้ง” ซึ่งประเมินกระแส และคะแนนนิยมแทบทุกวี่วันเริ่มท้อ เพราะรู้ดีว่าหากรังจะอยู่กับพลังประชารัฐต่อไป โอกาสที่จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เลือกให้กลับเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.มีน้อย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ “นักเลือกตั้ง” จะขยับเปิดดีลย้ายพรรค
โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. ที่กระแสของ พล.อ.ประยุทธ์-พลังประชารัฐ ดำดิ่งลงอย่างหนัก มี “ส.ส.”บางรายเปิดดีลย้ายไปอยู่พรรคร่วมรัฐบาล แต่ที่น่าเป็นห่วงคือมี “ส.ส.”หลายรายคนเปิดดีลย้ายพรรคไปอยู่พรรคเพื่อไทย ขั้วตรงข้าม
นอกจากนี้ ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ เริ่มปรากฏความเคลื่อนไหว “นักเลือกตั้ง” พยายามเปิดดีลพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ขอย้ายพรรคเข้าสังกัดพรรคสีน้ำเงินเพิ่มมากขึ้น เพราะมองแล้วโอกาสที่จะสู้ในสนามเลือกตั้งมีมากกว่า
“ประยุทธ์” ลังเล-ไม่ตัดสินใจ
เหตุผลหลักที่ “นักเลือกตั้ง” เริ่มเปิดดีลย้ายพรรค มาจากปัญหาความขัดแย้งของ “3 ป.” โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังลังเลว่าจะเดินเกมการเมืองอย่างไร จะไปต่อ หรือพอแค่นี้ หากไปต่อจะไปกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ และหากไปต่อ จะเข้าพรรคนี้ในสถานะใด
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ลังเล นักเลือกตั้งจึงจำเป็นต้องเอาตัวรอด เพราะหากปล่อยให้ระยะเวลาทอดยาวไป พรรคเป้าหมายอาจมีผู้สมัครในพื้นที่ของตัวเอง ทำให้ไม่เหลือที่ทางในพรรคที่ตัวเองตั้งเป้าเอาไว้
ต้องไม่ลืมว่า สิ่งสำคัญที่สุดของ “นักเลือกตั้ง” คือเก้าอี้ ส.ส. เพราะหากไม่ได้เป็น ส.ส. แทบไม่มีค่าในทางการเมือง
หลังจากนี้ จึงต้องจับตาว่า “3 ป.” จะขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐไปในทิศทางใด เพราะกระแส “วิกฤติศรัทธา” ที่ยังลามไม่หยุด กำลังกระทบอนาคตการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ อย่างหนักหนาสาหัส