"ก.ม.กัญชา" ทางสามแพร่ง วัดใจ "เพื่อใคร-เอื้อใคร"?

"ก.ม.กัญชา" ทางสามแพร่ง   วัดใจ "เพื่อใคร-เอื้อใคร"?

“ร่าง​ พ.ร.บ.กัญชา​ กัญชง​” ที่กำลังดำเนินอยู่ในขั้นตอนสภาฯ เวลานี้ กำลังมาถึง “ทางสามแพร่ง”  จากนี้ต้องจับตาเกมสภาว่าที่สุดแล้ว "การเมืองเรื่องกัญชา" ดำเนินไปในทิศทางใด

ผ่านไปกว่า 10 วัน แม้ยามนี้ “ชาวสายเขียว” จะได้เฮ จากการ “ปลดล็อกกัญชา” พ้นบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีผลตั้งแต่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ทว่า จนถึงเวลานี้ ยังมีข้อถกเถียงถึงผลกระทบที่จะตามมา หาก “นโยบายกัญชาเสรี” ซึ่งผลักดันโดยพรรคภูมิใจไทยเดินหน้าเต็มสูบ

สารพัดข้อถกเถียงเกี่ยวกับปริมาณการครอบครอง รวมถึงวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ ณ เวลานี้ยังคงกลายเป็นข้อสงสัยว่า การใช้หรือการครอบครองแบบไหนทำได้ แบบไหนทำไม่ได้ ?

จริงอยู่ แม้จะ “ปลดล็อกกัญชา”พ้นจากยาเสพติด แต่ยังมีข้อยกเว้นในกรณีสารสกัดที่มีสาร THC เกิน 0.2 % ที่ยังถือว่าเป็นยาเสพติด

ไม่ต่างกับข้อครหา การเอื้อประโยชน์ “นายทุนยักษ์ใหญ่” ที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง เห็นตัวอย่างชัดเจน จากกรณีตู้กดเครื่องดื่มชื่อดัง ที่ก่อนหน้านี้ออกมาชู “ซิกเนเจอร์” เป็นเครื่องดื่มผสมกัญชา สอดรับกับ “นโยบายกัญชาเสรี” ซึ่งเป็นนโยบายพรรคการเมืองดัง

จนนำมาซึ่งคำถาม และข้อห่วงใย โดยเฉพาะจาก “ชมรมแพทย์ชนบท” ที่ตั้งคำถามตัวโตๆ ไปถึง ร้านอาหาร น้ำดื่ม ตามร้านสะดวกซื้อ หรือกระทั่งตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติ จะคัดกรองอย่างไรว่า “เป็นผู้ซื้ออายุเกิน 20 ปี”  ตามข้อห้ามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่ลงนามโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข 

หากพบผู้กระทำผิด จะมีบทลงโทษหรือไม่? อย่างไร?

ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับ“กัญชาเสรี” ที่ยังไม่เสรี บวกกับการไร้ซึ่งกฎหมายมาควบคุมการใช้งาน​ เนื่องจากเป็นช่วงสุญญากาศ ระหว่างรอร่าง ​พ.ร.บ.กัญชา​ กัญชง​ มีผลบังคับใช้ ท่ามกลางคำถามตัวโตๆ ที่ดังก้องขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน

เช่นนี้ จึงมีการจับตาไปที่การใช้ “กลไกรัฐสภา”เพื่อหาข้อยุติ หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. … ที่เสนอโดยอนุทินและคณะ เมื่อ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ก่อนเสนอเข้าสู่สภาฯ เพื่อพิจารณาในวาระ 2 และ 3

อย่างที่รู้กันว่า ในมิติการเมืองนั้น ประเด็นการผลักดัน “นโยบายกัญชาเสรี” ถือเป็นสัญญาใจระหว่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับ “เสี่ยหนู” อนุทิน  ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

และเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ “เสี่ยหนู” ถึงขั้นประกาศกร้าว พร้อมถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล หาก พล.อ.ประยุทธ์ หรือ “บิ๊กรัฐบาล” โนสนโนแคร์ หรือ “เท” นโยบายกัญชาที่ผลักดันโดยพรรคภูมิใจไทย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีการเก็งข้อสอบไว้ว่า การโหวตชั้นให้ความ “เห็นชอบ” ในวาระ 3 เปอร์เซ็นต์ที่ร่างกฎหมายจะผ่านย่อมมีสูง 

ฉะนั้นจึงต้องจับตาที่ด่านสำคัญ คือ “สภาสูง” อย่างวุฒิสภา 

หลังจากที่กระแสสังคมกำลังพุ่งเป้าอย่างหนัก โดยเฉพาะท่าที “ผู้นำรัฐบาล” ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้   

ขณะเดียวกันกับที่ บิ๊กรัฐบาล โดยเฉพาะ“พล.อ.ประยุทธ์” กำลังชั่งน้ำหนัก วัดกระแสที่เกิดขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ กดปุ่มไปยัง “ส.ว.” โดยเฉพาะ ก๊วนพี่น้อง “3 ป.คอนเนกชั่น” ที่นั่งพรึ่บเต็มสภาสูง และรอสัญญาณอยู่ ณ เวลานี้ 

“ร่าง​ พ.ร.บ.กัญชา​ กัญชง​” ที่กำลังดำเนินอยู่ในขั้นตอนสภาฯ เวลานี้ กำลังมาถึง “ทางสามแพร่ง” ​ว่าจะไปทางไหน

 ทางแรก ผ่านกฎหมายฉลุย เดินหน้าสู่การผลักดันกัญชาเสรีเต็มสูบ ที่ต้องเผชิญทั้งกระแสบวกและลบ แต่เข้าทางพรรคภูมิใจไทย ที่ชูสโลแกน #พูดแล้วทำ

ทางที่สอง คือ “ซื้อเวลา” ด้วยการตั้งกรรมาธิการศึกษา ดังที่เคยเกิดขึ้นในการพิจารณากฎหมายหลายต่อหลายฉบับ

โดยรัฐบาลและภูมิใจไทย สามารถนำมาเป็นประเด็นต่อยอดในการหาเสียงเลือกตั้งได้ 

“หากจะให้กัญชาเสรีสำเร็จ ต้องเลือกพรรค...เข้ามาเป็นรัฐบาล” 

ทางเลือกที่สาม คือการ “โหวตคว่ำ” โดยเฉพาะในชั้นสภาสูง หากที่สุดแล้วฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่สามารถเคลียร์ข้อสงสัยต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นการเอื้อประโยชน์นายทุนยักษ์ใหญ่ได้  

ทางเลือกสุดท้ายนี้ ย่อมถือได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ "มีแต่ได้กับได้" ทั้งไม่ได้ผิดคำพูดที่เคยให้ไว้กับ “เสี่ยหนู” และพรรคภูมิใจไทย เพราะกฎหมายผ่านสภาผู้แทนฯ ไปแล้ว ถ้า ส.ว.จะไม่เห็นด้วยก็จนใจ

ซ้ำยังสามารถลดกระแสต้านอันส่งผลต่อคะแนนนิยมรัฐบาลไปได้ในคราวเดียวกัน

ฉะนั้น กระแสสังคมที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ จึงต้องจับตา“กลไกรัฐสภา”ว่าจะหาทางออก สำหรับการเมืองเรื่องกัญชาอย่างไร