"ศึกกทม." จุดพลิกฝ่ายขวา วิกฤติ "ชิงแต้ม" ลามสนามใหญ่

"ศึกกทม." จุดพลิกฝ่ายขวา  วิกฤติ "ชิงแต้ม" ลามสนามใหญ่

ศึกเลือกตั้ง2สนามกทม. ทั้ง "ผู้ว่ากทม-และส.ก." ไม่เพียงแต่สะท้อนปรากฎการณ์“ทุบสถิติ” แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังเกิด"จุดพลิก" ครั้งสำคัญ โดยเฉพาะฝ่าย "อนุรักษ์นิยม" ซ้ำยังสะท้อนภาพ "ศึกชิงแต้ม" อันส่งผลไปถึงการเมืองสนามใหญ่หลังจากนี้

ควันหลงศึกเลือกตั้ง “2 สนามเมืองหลวง” ทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(ผู้ว่าฯกทม.) และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.) ทั้ง 50 เขต ในรอบ 9 ปี ยามนี้คอการเมืองคงได้รู้กันแล้วว่า เราได้ผู้ว่าฯ กทม.คนที่ 17 ที่ชื่อ “ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ” และส.ก.ทั้ง 50 เขตไปเป็นที่เรียบร้อย

ทว่า ผลที่ออกมา นับเป็นการสะท้อนปรากฎการณ์ ที่ไม่ใช่แค่การ“ทุบสถิติ” จนเกิด “แลนด์สไลด์ชัชชาติ” หากแต่ยังรวมไปถึงการปักธงของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” และเป็นการสะท้อนภาพการเมือง ที่อาจส่งผลไปถึงสนามอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ

ต่างจากฝั่ง “อนุรักษ์นิยม” ที่รอบนี้เกิด “จุดพลิก” ครั้งสำคัญ ทั้งในส่วนของพลังประชารัฐ ที่เจอกระแสเบื่อรัฐบาล จนเหลือ ส.ก.เพียง 2 ที่นั่ง จากทั้งหมด 50 ที่นั่ง สวนทางการเมืองสนามใหญ่ ซึ่ง พปชร.ครองที่นั่ง ส.ส. 11 ที่นั่งจากทั้งหมด 30 ที่นั่ง 

หรือแม้แต่ในส่วนของ กลุ่มรักษ์กรุงเทพ ของอัศวิน  ขวัญเมือง ภายใต้การสนับสนุนของ พปชร.บางกลุ่ม ที่กวาดส.ก.มาได้เพียง 2 ที่นั่ง

ขณะที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่ง “สูญพันธุ์” ไร้ที่นั่ง ส.ส.เมืองหลวง ซ้ำยังเผชิญสภาวะอดีต ส.ก.ตีจาก รวมถึงวิกฤติฉาวก่อนหน้า  แม้รอบนี้จะไม่ได้ ส.ก.เป็นกอบเป็นกำ เหมือนเก่าก่อน แต่ก็สามารถกวาด ส.ก.มาได้ถึง 9 ที่นั่ง ได้คะแนนในส่วนของผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งส่ง “ดร.เอ้” สุชชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อยู่ในอันดับ 2  

นับเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมาย และสวนทางกับผลโพลล์หลายสำนัก ที่สำรวจความคิดเห็นมาก่อนหน้านี้

นับเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมาย และสวนทางกับผลโพลล์หลายสำนัก ที่สำรวจความคิดเห็นมาก่อนหน้านี้

ผลคะแนนที่ออกมา ไม่เพียงแต่สะท้อน “จุดพลิก” ครั้งสำคัญ ภายใน “ขั้วอนุรักษ์นิยม” หากแต่ยังเป็นการตอกย้ำ “เกมชิงแต้ม”กันเอง จาก 2 พรรค และ 2 กลุ่มการเมือง ที่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก  

หากย้อนกลับไปในหลายศึกเลือกตั้งที่ผ่านมา จะปรากฎเกมชิงแต้มภายในพรรคฝ่ายขวา ทั้ง ศึกเลือกตั้งซ่อมนครปฐม เขต 5 ระหว่าง “เผดิมชัย สะสมทรัพย์” จากพรรคชาติไทยพัฒนา และ  “สุรชัย อนุตธโต” พรรคประชาธิปัตย์

ศึกเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช เขต3 ระหว่าง “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” จากพรรคพลังประชารัฐ และ “พงศ์สินธุ์ เสนพงศ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ 

ศึกเลือกตั้งซ่อมสงขลา เขต 6 ระหว่าง “อนุกูล พฤกษานุศักดิ์” จากพรรคพลังประชารัฐ และ “สุภาพร กําเนิดผล” จากพรรคประชาธิปัตย์

และศึกเลือกตั้งซ่อมชุมพร เขต1 ระหว่าง“ชวลิต อาจหาญ” จากพรรคพลังประชารัฐ และ “อิสระพงษ์ มากอําไพ” จากพรรคประชาธิปัตย์

ฉะนั้น ด้วยศึกใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะการเลือกตั้ง “สนามใหญ่” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าไมานานหลังจากนี้ นอกเหนือจากการต่อสู้ระหว่างขั้วแล้ว “พรรคฝ่ายขวา” ยังต้องเผชิญกับสภาวะ “ศึกชิงแต้ม” ภายในขั้วเดียวกัน ที่จะไม่ได้มีแต่เพียงแค่ “พลังประชารัฐ” หรือ “ประชาธิปัตย์” เหมือนดังสนาม กทม.แต่เพียงเท่านั้น  

หากแต่ยังมีกระดูกชิ้นสำคัญ นั่นคือ “ภูมิใจไทย” ที่ยามนี้เดินหน้าเปิดดีล ดูด ส.ส.พ่วงโปรย้ายค่ายอย่างไม่หยุดหย่อน ยังไม่นับรวมพรรคก่อตั้งใหม่ทั้งพรรคกล้า พรรคสร้างอนาคตไทย รวมถึงสารพัดพรรคที่เกิดขึ้นรายวัน 

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ฟากฝั่ง “บิ๊กรัฐบาล” จะยืนยันเสียงแข็ง ผลเลือกตั้งจังหวัดเดียวไม่สามารถสะท้อนคะแนนนิยมรัฐบาล หรือพรรคร่วมรัฐบาลได้ 

แต่ถึงเวลาจริงเชื่อได้เลยว่า นอกเหนือจากศึกชิงแต้มระหว่างขั้วแล้ว ภาพของการชิงแต้มภายในขั้วเดียวกัน จะทวีความเข้มข้นขึ้นเป็นเท่าทวีคูณอย่างแน่นอน