"พศ." แจง "กมธ.ศาสนา" เร่งปรับข้อมูลพระปาราชิก กัน กลับไปบวชใหม่

"พศ." แจง "กมธ.ศาสนา" เร่งปรับข้อมูลพระปาราชิก กัน กลับไปบวชใหม่

กมธ.ศาสนา สอบ ปม "อดีตพระกาโตะ" พบ "พศ." ยังไม่ปรับปรุงระบบพระปาราชิก ระบุจะเร่งดำเนินการ หวังป้องกัน พระปาราชิก กลับไปบวชใหม่

        นายสุชาติ อุสาหะ ส.ส.เพชรบุรี พรรคพลังประชารัฐ ฐานะประธานคณะ กรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงที่รัฐสภาถึงผลการประชุมกรณีนายพงศกร จันทร์แก้ว หรืออดีตพระกาโตะ อดีตพระลูกวัดเพ็ญญาติ ตำบลกระเปียด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ประพฤติผิดพระธรรมวินัย ซึ่งเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องชี้แจงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ว่า  ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นข้อกฎหมาย กฎกระทรวงและกฎมหาเถรสมาคม ต่อกรณีภิกษุที่ต้องปาราชิกแล้วสามารถกลับมาบวชใหม่ได้หรือไม่นั้น โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาชี้แจงว่า ระบบฐานข้อมูลยังไม่สามารถปรับให้เป็นปัจจุบันได้ ดังนั้นจึงยังไม่สามารถยืนยันประวัติของผู้ที่เคยต้องปาราชิกได้ อย่างไรก็ตามสำนักงานพระพุทธศาสนายืนยันว่าจะรีบดำเนินการปรับปรุงข้อมูลในส่วนนี้อย่างเร่งด่วน

 

          "ทั้งประเทศมีพระภิกษุ 250,000 รูป มีวัดและสำนักสงฆ์ 42,000แห่ง และที่พักสงฆ์ 10,000แห่ง ต้องยอมรับว่าฐานข้อมูลพ.ศ.ยังไม่สามารถปรับให้เป็นปัจจุบันได้ ดังนั้นการยืนยันตัวตนบางครั้งหากต้องอาบัติปาราชิกในกรณีเสพเมถุนว่า เป็นบุคคลเดิมหรือไม่ หากมีการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล จึงยังไม่สามารถยืนยันข้อมูลปัจจุบันได้ แต่ทางพ.ศ.จะไปปรับปรุงข้อมูลในส่วนนี้โดยเร่งด่วน" นายสุชาติ กล่าว

         2. กรณีที่ก่อนหน้านั้นได้แต่งตั้งอดีตพระกาโตะเป็นรักษาการเจ้าอาวาส ถูกต้องตาม พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 15 หรือไม่นั้น ได้รับการชี้แจงว่ากรณีอดีตพระกาโตะไม่ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เนื่องจากไม่มีคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ และในกรณีนี้ เจ้าอาวาสวัดบุปผารามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติตามกฎหมาย

 

         และ 3.การเปิดบัญชีของวัดและอำนาจในการเบิกถอนเงินถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ แบ่งเป็นสองประเด็น คือ ประเด็นเรื่องบัญชีเป็นชื่อของวัดถูกต้อง แต่ผู้มีอำนาจเบิกถอนไม่เป็นไปตามระเบียบเพราะทั้ง 3 คนที่มีชื่อในการเบิกถอนไม่ได้เป็นรักษาการเจ้าอาวาสและไวยาวัจกร นอกจากนี้ยังมีการรายงานเพิ่มเติมว่าจำนวนเงินที่มีการเบิกถอนมีจำนวนมากกว่าที่ปรากฏเป็นข่าว ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานสอบสวนที่จะต้องดำเนินการต่อไป 

 

         "ผู้มีอำนาจถอนเงินไม่ถูกต้องตามระเบียบ เพราะทั้ง 3คนที่มีชื่อเบิกจ่าย ไม่ได้เป็นรักษาการเจ้าอาวาสหรือไวยาวัจกร จึงเป็นหน้าที่เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายต้องไปสืบต่อว่า เงินส่วนนี้เข้ามาอย่างไร รวมถึงการเบิกจ่ายที่ไม่มีอำนาจ ผลจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่บอกได้คือ จำนวนเงินที่เบิกจ่ายออกจากวัดมีมากกว่า 600,000บาท จากที่ปรากฏเป็นข่าว เฉพาะเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาก็มากกว่า600,000บาทแล้ว และน่าจะทะลุ 1ล้านบาท ฝ่ายสืบสวนกำลังตามอยู่ว่า เงินเหล่านี้นอกจากถูกเบิกไปให้สีกาแล้ว นำไปใช้ทำอะไรบ้าง กำลังไล่เส้นทางการเงินอยู่ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่อดีตพระกาโตะไม่มีอำนาจเบิกจ่ายเงินส่วนนี้ เพราะไม่ใช่เจ้าอาวาสหรือรักษาการเจ้าอาวาสตามกฎหมาย" นายสุชาติ แถลง

         นายสุชาติ กล่าวด้วยว่าเนื่องจากอดีตพระกาโตะไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมาย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ปปป.) จะส่งเรื่องต่อให้กับกองบังคับการปราบปราม หรือเจ้าพนักงานตำรวจในพื้นที่ดำเนินคดีฐานยักยอกทรัพย์ต่อไป.