ขยายอายุทำงาน 60+ แก้ภาระคลัง-สังคมสูงวัย

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ชัดว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรสูงอายุมากถึง 13 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน และตัวเลขนี้จะพุ่งทะยานสู่ 20 ล้านคนในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า
จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับสถานะทางการเงินที่เปราะบางของคนกลุ่มนี้ การขยายอายุการทำงานจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นเสวนาในหลายเวที ที่ไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” แต่คือ “ทางรอด” เชิงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชากรในระยะยาว
เพราะผู้สูงอายุเกือบครึ่งหนึ่งมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ โดย 31.6% มีรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 83-167 บาท และอีก 19.9% มีรายได้น้อยกว่า 83 บาทต่อวัน ซึ่งเป็นระดับรายได้ที่น่ากังวลต่อการดำรงชีพอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า 2 ใน 3 ของผู้สูงอายุ (66.7%) ไม่มีเงินออมเลย จึงจำเป็นต้อง ต้องทำงานต่อ และมีผู้สูงอายุถึง 5.26 ล้านคน หรือ 37.2% ยังทำงานอยู่ โดยให้เหตุผลหลักว่าสุขภาพยังแข็งแรงและมีความจำเป็นด้านรายได้ สะท้อนว่าผู้สูงอายุจำนวนมากไม่ได้ต้องการเป็นภาระพึ่งพิงของสังคมหรือภาครัฐ แต่ต้องการที่จะมีบทบาท มีคุณค่า และสามารถดูแลตนเองได้ หากมีการขยายอายุการทำงานให้เกิดขึ้นจริง จะเป็นผลดีต่อผู้สูงอายุกลุ่มนี้
นักวิชาการที่สนับสนุนการทำงานของผู้สูงอายุ อธิบายว่าต้นทุนในการดูแลผู้สูงอายุหนึ่งคนในช่วงวัย 60-80 ปีนั้นสูงถึงประมาณ 3.22 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 20 ปี ปัจจุบันวัยทำงานหลายคนตกอยู่ในสภาวะ “ครอบครัวแซนด์วิช” (Sandwich Family) ทำงาน 1 คน รับภาระในการดูแลผู้สูงอายุถึง 3 คนทั้งคนรุ่นก่อนและคนรุ่นถัดไป ยิ่ง 15 ปีข้างหน้า (ค.ศ. 2025-2040) วัยทำงานจะลดลงถึง 5 ล้านคน ทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้น้อยลงแต่มีรายจ่ายด้านสวัสดิการและดูแลสุขภาพที่พุ่งสูง
การเปลี่ยน“ผู้สูงวัย”ให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการขยายอายุเกษียณแบบค่อยเป็นค่อยไป (Phase-in) เริ่มต้นจากการปรับอายุเกษียณขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้องค์กรและสังคมมีเวลาปรับตัว ลดผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อคนรุ่นใหม่ เป็นไปตามความสมัครใจของผู้สูงอายุ และต้องผ่านการประเมินศักยภาพทั้งด้านร่างกายและความสามารถ เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะแรกเน้นการขยายอายุในตำแหน่งงานที่ต้องการองค์ความรู้เฉพาะทาง หรือตำแหน่งที่ขาดแคลนบุคลากร เพื่อรักษาความต่อเนื่องและลดผลกระทบต่อโอกาสความก้าวหน้าของพนักงานรุ่นใหม่ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
การขยายอายุการทำงานให้ผู้สูงอายุที่ยังแข็งแรงและเต็มใจ ไม่ใช่การเพิ่มภาระให้กับสังคม แต่คือการปลดล็อกศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสบการณ์และมีคุณค่าที่สุดของประเทศ เป็นการเปลี่ยนมุมมองจาก “ภาระ” ที่ต้องดูแล ไปสู่ “พลัง” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม การทำงานต่อไปจึงไม่เพียงแต่สร้างรายได้ เพราะอายุเฉลี่ยของคนไทยที่ยังมีสุขภาพดี (Healthy Life Expectancy) อยู่ที่ประมาณ 66-67 ปีการที่ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเองได้นานขึ้น เป็นการ “ยืดระยะเวลาการพึ่งพิงระบบสวัสดิการภาครัฐ” โดยเฉพาะหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและเบี้ยยังชีพ ประหยัดงบประมาณของประเทศได้อีกทางหนึ่ง







