Bitcoin กับศึกการเงินเงียบ: ทำไมคราวนี้แรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และกระทบตลาดโลกอย่างไร

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โลกคริปโตเต็มไปด้วยบทวิเคราะห์และกระแสข่าวที่ร้อนแรงเกี่ยวกับความผันผวนของ Bitcoin
หลายคนอาจมองว่านี่เป็นเพียงแรงขายทางเทคนิคหรือความกลัวในตลาด แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นลึกกว่านั้นมาก
เพราะตอนนี้ในสหรัฐฯ กำลังเกิด “สงครามการเงินเงียบ” ระหว่างสองฝ่ายที่ต่างต้องการกำหนดอนาคตของเงินดอลลาร์ในยุคดิจิทัล — และ Bitcoin ถูกดึงเข้าไปอยู่ใจกลางความขัดแย้งครั้งนี้อย่างไม่ตั้งใจ
ต่างจากความผันผวนในรอบก่อน ๆ เช่นปี 2017 หรือ 2021 ครั้งนี้ไม่ใช่รอบ correction ปกติ แต่เป็นแรงสั่นสะเทือนเชิงโครงสร้างที่กระทบทั้งตลาดหุ้น สภาพคล่องโลก และระบบธนาคารดั้งเดิมในเวลาเดียวกัน
ปัจจัยหลายด้านกำลังบีบเข้าหากัน ตั้งแต่แรงกดดันทางนโยบายของเฟด การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ใกล้เข้ามา ไปจนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัลในระบบการเงินโลก
ในช่วงเดียวกัน สภาพคล่องโลก (Global Liquidity) ก็ผันผวนหนัก ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง ความแข็งค่าของดอลลาร์ และการขยับตัวของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของโครงสร้างเงินดั้งเดิม และเปิดทางให้เงินดิจิทัลถูกพูดถึงมากขึ้นในระดับนโยบาย
ดังนั้นความผันผวนของ Bitcoin ที่เราเห็นจึงไม่ใช่เพียงการเคลื่อนไหวตามแรงซื้อขายรายวัน แต่เป็นผลพวงจากแรงปะทะของสองระบบการเงินที่กำลังแข่งขันกัน:
- ระบบเก่าที่ขับเคลื่อนโดยธนาคารพาณิชย์และธนาคารกลาง
- ระบบใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยสถาปัตยกรรมดิจิทัล Stablecoins และ Bitcoin
ทั้งสองฝั่งใช้ตลาดการเงินเป็นเครื่องมือ—ตั้งแต่ Futures, Options, ETF ไปจนถึง narrative ที่สื่อออกมาในตลาด เพื่อพยายามควบคุมภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของ Bitcoin
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องของราคาขึ้นลง แต่เป็น “สัญญาณของการเปลี่ยนโครงสร้างเงินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ” และ Bitcoin ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการเปลี่ยนผ่านนี้อย่างเต็มตัวแล้ว
ระบบเก่าเริ่มรับแรงสั่นสะเทือน: JPMorgan และโครงสร้างธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาแบบดั้งเดิม
วัฏจักรของเงินดอลลาร์ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve) และระบบธนาคารพาณิชย์ โดยมี JPMorgan เป็นสถาบันที่อยู่ใกล้ “หัวใจของระบบ” มากที่สุด
JPMorgan ไม่ได้เป็นเพียงธนาคารระดับโลก แต่ทำหน้าที่เหมือนโครงสร้างกลางในการเคลื่อนย้ายเงิน สภาพคล่อง และการกำกับเชิงพฤติกรรมของตลาดการเงิน
แต่เมื่อโลกเริ่มขยับเข้าสู่ยุคสินทรัพย์ดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ และ Bitcoin เริ่มแทรกตัวเข้าไปในตลาดทุนสหรัฐฯ ผ่าน ETF และตราสารการเงินต่าง ๆ ระบบเก่าเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างชัดเจน
เพราะ Bitcoin ไม่ได้ขึ้นอยู่กับธนาคาร ไม่ต้องพึ่งเฟด และไม่อยู่ในการควบคุมของโครงสร้างที่มีมายาวนานกว่า 6 ทศวรรษ
ไม่นานมานี้ เราเห็นสัญญาณแปลกหลายอย่าง เช่นความล่าช้าในการโอนหุ้นของ MicroStrategy (MSTR), แรง short จำนวนมากในจังหวะที่ตลาดกำลังจะขึ้นและ narrative เชิงลบที่ออกมาพร้อมกันหลายช่องทาง เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนภาพการ “ตั้งรับ” ของสถาบันการเงินเก่าที่ไม่อยากปล่อยให้ระบบใหม่เติบโตอย่างง่ายดาย
ฝั่งทำเนียบขาวเดินเกมใหญ่: ใช้ Bitcoin + Stablecoins สร้างสถาปัตยกรรมเงินดิจิทัลใหม่
ขณะที่ระบบเก่าปกป้องฐานของตัวเอง ฝั่งรัฐบาลสหรัฐฯสนับสนุนโดย Trump กลับเดินเกมเงียบด้วยแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินทั้งระบบ นั่นคือ การดึงอำนาจการออกเงินกลับสู่กระทรวงการคลัง (Treasury) ซึ่งตรงกันข้ามกับรูปแบบดั้งเดิมที่อำนาจส่วนใหญ่กระจายอยู่ในเฟดและธนาคารพาณิชย์
ยุทธศาสตร์ใหม่นี้มีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ:
1. Stablecoins ที่ผูกกับ Treasury โดยตรง
ทำให้เงินดิจิทัลมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งธนาคารพาณิชย์เป็นตัวกลาง
2. ระบบ settlement แบบ programmable
เพิ่มความเร็ว ความแม่นยำ และลดต้นทุนระบบโอนเงินระดับโลก
3. ใช้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ค้ำระยะยาว (long-duration collateral)
คล้ายกับ “ทองคำยุคใหม่” ของระบบการเงินดิจิทัล
หากโครงสร้างนี้สำเร็จ อำนาจในการออกเงินส่วนใหญ่จะกลับมาอยู่ที่ Treasury และลดบทบาทของธนาคาร เเละ เฟดเป็น อย่างมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมฝั่งสถาบันเดิมจำเป็นต้องยื้อการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้
Bitcoin กลายเป็นสนามรบ ไม่ใช่ผู้เล่น
Bitcoin ในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ที่อยู่ข้างสนามอีกต่อไป แต่กลายเป็น “พื้นที่ต่อสู้” อย่างแท้จริงในสงครามอำนาจทางการเงินของสหรัฐฯ
แม้ Bitcoin จะไม่เคยถูกออกแบบมาให้มีบทบาททางการเมืองหรือเศรษฐกิจเชิงอำนาจ แต่ด้วยคุณสมบัติอย่างความโปร่งใส ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ของระบบ และจำนวนที่จำกัด ทำให้มันถูกดึงเข้าไปอยู่ใจกลางความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฝั่งหนึ่ง มีความต้องการที่จะสะสม Bitcoin แบบเงียบ ๆ เพราะหากประกาศนโยบายหรือแผนการอย่างเปิดเผย ราคาของ Bitcoin อาจพุ่งขึ้นเร็วเกินไปจนทำให้ต้นทุนของระบบการเงินดิจิทัลใหม่สูงเกินควบคุม จึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังที่สุดเท่าที่ทำได้
ในทางตรงกันข้าม ฝั่งสถาบันการเงินดั้งเดิมกลับต้องการให้ราคาของ Bitcoin ถูกกดไว้ เพื่อชะลอไม่ให้ Bitcoin กลายเป็นเสาหลักของสถาปัตยกรรมเงินใหม่เร็วจนเกินไป นี่ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีทิศทางการกระทำที่สวนทางกันโดยสมบูรณ์
ผลลัพธ์คือภาพตลาดที่ดูเหมือนมี “มือที่มองไม่เห็น” แทรกแซงอยู่ตลอดเวลา เราเห็นแรงเทขายผ่าน Futures และ Options ในช่วงเวลาที่ผิดธรรมชาติ เห็นการกดราคาให้หลุดแนวรับสำคัญอย่างแม่นยำ และเห็นการสร้าง narrative เชิงลบ
เช่น “Bitcoin ผันผวนเกินไป ไม่เหมาะเป็นสินทรัพย์ของระบบการเงิน” ผุดขึ้นในหลายช่องทางพร้อมกัน ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่เป็นผลจากแรงปะทะของสองระบบการเงินที่กำลังชนกันอย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ครับ
MicroStrategy: สะพานระหว่างสองโลกที่ถูกจับตามองมากที่สุด
MicroStrategy หรือ MSTR ได้กลายเป็นบริษัทที่เชื่อม Bitcoin เข้าสู่ทุนสถาบันได้ดีที่สุดในโลก จากการถือ Bitcoin มากกว่า 649,870 BTC และการออกตราสารหนี้ดิจิทัลกว่า 7.7 พันล้านดอลลาร์ภายในปีเดียว
จนบทบาทของบริษัทไม่ได้จำกัดอยู่ที่ซอฟต์แวร์อีกต่อไป แต่ทำหน้าที่คล้าย “ธนาคาร Bitcoin” ที่สร้างโครงสร้างการเงินยุคใหม่สำหรับสถาบันโดยตรง
บทบาทระดับนี้ทำให้ MSTR เป็นหนึ่งในแกนสำคัญของระบบเงินดิจิทัลใหม่ และเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทถึงถูกจับตามองจากสถาบันดั้งเดิมอย่างหนัก
กระแสข่าวเรื่องการอาจถูกถอดออกจากดัชนี MSCI และ Nasdaq 100 จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะตามประเมินของ JP Morgan หากถูกถอดออกจริง อาจมีเงินไหลออกจากหุ้นสูงถึง 2.8–8.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งกระทบทั้งราคาหุ้นและ sentiment ของ Bitcoin ทันที
อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ลึกไปกว่าราคาตลาดคือคำถามว่า ใครจะคุมเสียงใน Federal Reserve Board ในอีกหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า
หากฝ่ายทำเนียบขาวคุมเฟดไม่ได้ การผลักดันระบบการเงินดิจิทัลใหม่อาจต้องชะลอ แต่ถ้าคุมได้ ระบบใหม่อาจเดินหน้าเต็มรูปแบบ และ Bitcoin มีโอกาสก้าวสู่การเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการเงินระดับชาติในที่สุด
Bitcoin ไม่ใช่แค่สินทรัพย์ แต่เป็นสมรภูมิระหว่างสองอนาคตความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราคาที่แกว่งขึ้นลงตามแรงซื้อขายระยะสั้น แต่เป็น “เสียงสะท้อนของการเปลี่ยนโครงสร้างเงินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ”
จริง ๆ ฝั่ง JPMorgan และระบบธนาคารกำลังพยายามรักษาระบบดั้งเดิมที่พวกเขาควบคุมมานาน ขณะที่ฝั่งชอบ Bitcoin Treasury เดินเกมสร้างสถาปัตยกรรมการเงินใหม่ที่ใช้ Bitcoin และ Stablecoins เป็นแกนกลาง
ในภาพนี้ MicroStrategy กลายเป็นสะพานที่เชื่อมโลกเก่าและโลกใหม่เข้าด้วยกัน เป็นช่องทางที่ทำให้สถาบันเข้าสู่ Bitcoin อย่างเป็นระบบ ส่วนธนาคารกลางสหรัฐก็ทำหน้าที่เป็นเวทีกลางที่ตัดสินว่าระบบใดจะมีอำนาจนำในยุคถัดไป สุดท้ายไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ
สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ Bitcoin ได้ก้าวออกจากสถานะ “สินทรัพย์ทางเลือก” และกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอำนาจการเงินโลกอย่างสมบูรณ์.







