เปิดโลกทัศน์ของ “อินฟลูฯ” ล้วนมีความ “หิวแสง” อยู่ในตัว

เปิดโลกทัศน์ของ “อินฟลูฯ” ล้วนมีความ “หิวแสง” อยู่ในตัว

หากกล่าวถึงผู้ใดก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าประกอบอาชีพอินฟลูเอนเซอร์นั้น เกือบจะร้อยละ 100 ล้วนมีความ ‘หิวแสง’ อยู่ในตัว เนื่องด้วยแก่นแกนหลักที่ถูกบรรจุใน Job Description (JD) ของอาชีพนี้ คือ

การสร้างกระแส (viral) ให้แก่สินค้าหรือตามแต่ละเป้าหมายที่ได้รับในโครงการหนึ่งๆ วลีที่ว่า “ยอด view นั้นกินได้” จึงไม่ใช่เรื่องเกินความเป็นจริง 

เพราะความสูง-ต่ำในรายได้ของอินฟลูฯ มีตัวแปรอยู่ไม่กี่ประการ อาทิ ยอดผู้ติดตาม ยอดการเข้าชมและสถิติผู้มีส่วนร่วม (engagement) ในเนื้อหาที่ตนเองเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มไม่ว่าจะ Tiktok, Facebook, Youtube หรือ Instagram

ยิ่งปัจจุบันเม็ดเงินจากธุรกิจสื่อและโฆษณาถูกเทลงมายังอุตสาหกรรมสื่อสังคมออนไลน์คิดเป็นอัตราส่วนกว่า 30% จนปริมาณ ‘อินฟลูฯ’ ทั้งระดับ nano ไปถึง mega ขยายตัวมาร่วม 9,000,000 คนในช่วงไม่กี่ปีหลังไวรัส COVID-19 ระบาด

ในขณะที่ประชากรไทยยังไม่พ้น 70 ล้านคน เท่ากับว่าขณะนี้จะมีอินฟลูฯ 1 คน ต่อประชากรไทย 7-8 คน 

การที่จะมีอินฟลูฯ พฤติกรรมเรื้อนขยายสาขาจากไทยไปก่อความรำคาญยังต่างประเทศ ในสภาพที่ตลาดแข่งขันสูงเช่นปัจจุบัน นับเป็นจุดที่พอเข้าใจได้ และจะไม่ใช่กรณีสุดท้ายที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เหตุผลหลัก คือ วงการนี้มีอินฟลูฯ รุ่นพี่หลายคน (คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยนาม) ได้สร้างบรรทัดฐานไว้ให้แล้วถึงสูตรสำเร็จ/ทางลัดในการสร้างกระแสเพื่อเลี้ยงปากท้องตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแนวทางที่สร้างสรรค์หรือลงทุนทางความคิดสูงมากนัก

ตั้งแต่การเปิดฉากห้วง 3-4 วินาทีแรกของคลิปด้วย Clickbait ทำนองเดียวกับเพจ Facebook ของสำนักข่าวบางค่าย ไปจนถึงการสร้างสถานการณ์ค้านสายตาคนหมู่มากแล้วอ้างเป็นการทดลองทางสังคม (social experiment)

ที่แม้ feedback จะผสมกันระหว่างชื่นชมและก่นด่า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีดังกล่าวสามารถทำให้อินฟลูฯ รายนั้น ๆ ได้รับการกล่าวถึงบนโลกออนไลน์ไปหลายวัน พร้อมยอดผู้ติดตาม และรายได้ที่เพิ่มขึ้น

การแก้ไขจึงทำได้ยากในระยะยาว เพราะท้ายที่สุดมันเป็นความเรื้อนที่นำไปสู่ผลประโยชน์ด้านตัวเงิน

สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกัน คือ ปัญหาไม่ได้จำกัดที่เรื่องของปัจเจกบุคคลเสียทีเดียว หากแต่มีปัจจัยเชิงระบบจากสื่อสังคมออนไลน์เข้ามาข้องเกี่ยว ซึ่งมีกลไกนำส่งเนื้อหา (content moderation) ที่คาดหวังให้ผู้ใช้งาน/อินฟลูฯ ผลิตเนื้อหาเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอ และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตาม

ผู้ใดสามารถตอบสนองต่อเกณฑ์ข้างต้นได้ก็มักได้รับรางวัลจาก AI ที่ควบคุมระบบเป็นการนำส่งเนื้อหาขึ้นสู่หน้าแนะนำของแพลตฟอร์ม จุดนี้ส่งผลให้ปัจจุบันมีอินฟลูฯ หลายคนแข่งกันผลิตเนื้อหาโดยเน้นปริมาณมากขึ้น

เนื่องจากระบบคัดกรองส่วนใหญ่ตีความคลาดเคลื่อนไปว่าเนื้อหาที่มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก ณ ห้วงเวลาหนึ่งๆ (ไม่เว้นแม้เนื้อหาที่มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นด่าทอ) เป็น ‘เนื้อหาที่มีคุณภาพ’

รูปการณ์เช่นนี้ เอื้อให้อินฟลูฯ เจนโลกหลายคนชักชวนกันให้ใช้วิธีดังว่าเพื่อเล่นกับช่องโหว่ของเกณฑ์การคัดกรองเนื้อหาแพลตฟอร์ม สังคมไทยจึงได้เห็นปรากฏการณ์อินฟลูฯ หิวแสง ยัน AI Slop และกลุ่ม ‘#ครีเอเตอร์มือใหม่’ กระจายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กล่าวโดยพื้นฐานที่สุด ตราบใดที่ผู้ผลิตเนื้อหาประเภทขยะยังได้รับการโอบอุ้มจากแพลตฟอร์ม หรือผลประโยชน์ด้านตัวเงินที่ภาคธุรกิจประเคนให้ ปัญหาข้างต้นนี้ก็จะไม่มีวันได้รับการแก้ไข

แง่หนึ่งอาจตั้งข้อสรุปได้ในเบื้องต้นถึงปัจจัยสำคัญที่ประกอบสร้างโลกทัศน์ดังว่าให้แก่กลุ่มอินฟลูฯ ก็มาจากแพลตฟอร์มเองนั้นแล ครั้นจะย้อนกลับไปเรียกร้องหาระบอบธรรมาภิบาลจากบริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม

ไม่ว่าจะค่ายสีน้ำเงิน ฟ้า แดง หรือดำก็คงป่วยการ เพราะเป็นบริษัทข้ามชาติที่ประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ดังจะเห็นได้จากกรณีที่ Facebook มีข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ในสัดส่วน 10% ของรายได้ทั้งหมด และต่อให้ภาครัฐในประเทศเจ้าของพื้นที่ เช่น ไทย เข้ามามีบทบาทเรียกร้องให้มีการสร้างกลไกร่วมกำกับ (co-regulation) ก็ใช่ว่าจะมีอำนาจต่อรองเหนือผู้บริหารแพลตฟอร์มที่มีมูลค่าเรือนล้านล้านดอลลาร์สหรัฐได้โดยง่าย

มากไปกว่านั้น ปัจจุบันหลักการนิยามให้เนื้อหาใดเป็น ‘ขยะ’ ยังค่อนข้างคลุมเครือ และสร้างความเป็นเอกฉันท์ไม่ได้ พฤติกรรมที่คนบางกลุ่มรังเกียจอาจเป็นแหล่งพลังบวกของอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้

ซึ่งแตกต่างจากหลักการกำหนดว่าสิ่งใดเป็น ‘ข่าวปลอม’ ซึ่ง AI ของแพลตฟอร์มสามารถติดฉลาก (label) ภายใต้เนื้อหาดังกล่าวได้ในทันทีที่ตรวจพบ

จึงทำให้การเคลื่อนไหวผลักดันให้แพลตฟอร์มติดฉลากเนื้อหา ‘ขยะ’ ยังเป็นไปได้ยากกว่าเมื่อครั้งที่ภาคประชาสังคมระหว่างประเทศเคยรณรงค์ให้ Google หรือ Facebook ติดฉลากให้แก่เนื้อหาประเภทข่าวปลอม.

ปรีชภักดิ์ ทีคาสุข นักวิชาการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชันและส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย