ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ประจำปี 2568 วัดบวรฯ - วัดสุทัศน์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ประจำปีพุทธศักราช 2568 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร - วัดสุทัศนเทพวราราม
วันนี้ (16 ตุลาคม 2568) เวลา 17.28 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ประจำปีพุทธศักราช 2568 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร โดยเสด็จในการนี้ด้วย
ในการนี้ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธชินสีห์ พระประธานพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เดิมชื่อวัดใหม่ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ และทรงเป็นเจ้าอาวาสพระองค์แรก จึงเปลี่ยนชื่อเป็นวัดบวรนิเวศวิหาร
ภายในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์ พระประธานองค์ใหญ่ คือ "พระสุวรรณเขต" อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี และพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ทางด้านหน้าพระสุวรรณเขต คือ พระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก
เมื่อพระสงฆ์ทำพิธีกฐินกรรมแล้ว ทรงจุดธูปเทียนถวายสักการะพระรูป สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) พระราชกรรมวาจาจารย์ ทรงทอดผ้าไตร และถวายเครื่องบริวารพระกฐินแด่พระสงฆ์ผู้ครองผ้าพระกฐิน ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก
โอกาสนี้ พระพรหมวชิรรังษี เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ถวายพระกริ่งบัวรอบ 12 รอบ พระนักษัตร เนื้อทองคำ และเนื้อนวโลหะ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร
วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ ที่ทรงพระผนวชหลายพระองค์ และเป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราชถึง 4 พระองค์ ทั้งยังเป็นแหล่งกำเนิดการศึกษาของคณะสงฆ์ คือ มหามกุฏราชวิทยาลัย ปัจจุบันมีพระสงฆ์และสามเณร รวม 115 รูป
ต่อจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ประจำปีพุทธศักราช 2568 ณ วัดสุทัศนเทพวราราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ในการนี้ เสด็จเข้าพระวิหารหลวง ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธศรีศากยมุนี แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8
จากนั้น ทรงพระดำเนินไปยังพระอุโบสถ ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้ากฐิน
"วัดสุทัศนเทพวราราม" เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 โดยในต้นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างวัดขึ้นในพื้นที่พระนครชั้นใน พระราชทานชื่อว่า "วัดมหาสุทธาวาส" โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อน เพื่อประดิษฐานพระพุทธศรีศากยมุนี หรือ พระโต ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสังฆาราม ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ การก่อสร้างวัดมาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 ในปี 2390 และพระราชทานนามว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม" ปรากฏในจดหมายเหตุว่า "วัดสุทัศน์เทพธาราม" และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช รัชกาลที่ 4 ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า พระพุทธศรีศากยมุนี, พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ และพระพุทธเสฏฐมุนี, ปัจจุบัน มีพระพรหมวชิรมุนี เป็นเจ้าอาวาส มีพระสงฆ์ 72 รูป และสามเณร 23 รูป
โอกาสนี้ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินสนับสนุนวัด และสมทบทุนมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานของที่ระลึก
ทั้งนี้ ภายในวัดสุทัศนเทพวรารามยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 และได้เชิญพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 8 มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระพุทธศรีศากยมุนี เมื่อ 2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของ รัชกาลที่ 8 ในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี ทั้งนี้ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 กรมศิลปากร ได้กำหนดเขตโบราณสถานของวัดสุทัศนเทพวราราม ให้มีพื้นที่โบราณสถาน จำนวน 28 ไร่ 76 ตารางวา โดยพระอุโบสถ ถือว่าเป็นพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ผนังด้านในของพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มยอดเจดีย์ มีลักษณะแปลกตาและงดงาม รอบ ๆ พระอุโบสถ มีซุ้มเสมา 8 ซุ้ม ตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว เป็นใบเสมาคู่ซึ่งทำจากหินอ่อนสีเทา สลักเป็นภาพช้าง 3 เศียร งวงชูดอกบัวตูมเศียรละ 1 ดอก เบื้องบนมีดอกบัวบาน 3 ดอก บนกำแพงแก้วด้านทิศเหนือและทิศใต้ มีเกยอยู่ด้านละ 4 เกย ซึ่งใช้เป็นที่สำหรับประทับโปรยทานแก่ประชาชนในงานพระราชพิธี เรียกว่า "เกยโปรยทาน"
จากนั้น ทรงพระดำเนินไปยังศาลาการเปรียญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม ที่กำพูสัปตปฎลเศวตฉัตร ทรงถือสายสูตรยกสัปตปฎลเศวตฉัตร ขึ้นกางกั้นเหนือพระพุทธเสฏฐมุนี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงวางพวงมาลัย และทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการท้ายที่นั่งบูชาพระพุทธเสฏฐมุนี
โอกาสนี้ ทอดพระเนตรนิทรรศการพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 และนิทรรศการพระพุทธเสฏฐมุนี หรือ หลวงพ่อกลักฝิ่น ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 1 วา 1 ศอก 1 คืบ หรือ ประมาณ 2 เมตร 75 เซนติเมตร โดยในปี 2382 รัชกาลที่ 3 มีพระบรมราชโองการให้ปราบปรามฝิ่น และให้รวบรวมมาเผาทำลายที่สนามไชย หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นำกลักฝิ่นโลหะหล่อขึ้นเป็นพระพุทธปฏิมา ด้วยมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดสุทัศนเทพวราราม ต่อมาปี 2397 รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างศาลาโรงธรรม หรือ ศาลาการเปรียญ และอัญเชิญพระพุทธปฏิมา มาประดิษฐานเป็นพระประธานประจำศาลาการเปรียญ พร้อมถวายพระนามว่า "พระพุทธเสฏฐมุนี" แปลว่า "พระผู้ประเสริฐสุด"
ต่อจากนั้น ทรงพระดำเนินไปยังพิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) เนื่องในอภิลักขิตสมัยวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ครบ 100 ปี พุทธศักราช 2568 ในการนี้ ทรงวางพวงมาลัยถวายสักการะพระรูปหล่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ลำดับที่ 4
จากนั้น เสด็จเข้าหอพระกรรมฐาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถวายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน และธูปเทียนแพสักการะ พระพุทธชัยสิริวัฒน์ หรือ หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปประจำพระองค์สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงถวายดอกบัวทอง ดอกบัวเงิน และธูปเทียนแพสักการะภาพสุนทรีวาณี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงถวายธูปเทียนแพสักการะพระนิรโรคันตราย
โอกาสนี้ เสด็จเข้าตำหนักประทับ ทอดพระเนตรนิทรรศการพระประวัติและสิ่งของเครื่องใช้ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก หลังจากประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ตามมา โดยมีการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 และจัดตั้งสังฆสภาขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติของสงฆ์ โดยทรงริเริ่มดำเนินการแปลพระไตรปิฏกเป็นภาษาไทยให้ครบถ้วนสมบูรณ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทรงพระปรีชาในงานช่าง โดยมีฝีพระหัตถ์ในการ ทรงวาดลวดลายและแกะสลัก ทรงสร้างงานพุทธศิลป์ไว้มากมาย อาทิ พระกริ่ง พระพุทธรูปบูชา โต๊ะหมู่ และเครื่องบูชาที่เป็นเครื่องแก้วเจียระไน สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2487 สิริพระชันษา 88 ปี
จากนั้น เสด็จเข้าหอไตร ทอดพระเนตรนิทรรศการตาลปัตร ย่าม และผ้ากราบ ที่จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสต่าง ๆ สำหรับ พิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) จัดตั้งขึ้นในปี 2567 ภายในพื้นที่คณะ 6 ของวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และอดีตเจ้าอาวาสรูปก่อน ๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 มีพื้นที่พิพิธภัณฑ์ฯ และจัดแสดงนิทรรศการแบ่งเป็น 5 ส่วน คือ ตำหนักประทับ, หอพระกรรมฐาน, หอไตร, กุฏิเรือนแถวทิศตะวันออก จัดแสดงเอกสารโบราณ, และกุฏิเรือนแถวทิศตะวันตก จัดแสดงเครื่องพุทธบูชาเก่าแก่











