รำไพพรรณีรำฤก

ในโอกาสครบรอบ 120 ปีวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเสวนาน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ในโอกาสครบรอบ 120 ปีวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเสวนาในหัวข้อ รำไพพรรณีรำฤก ณ ห้องสามศร อาคารรำไพพรรณี พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหม่อมราชวงศ์ พฤทธิสาณ ชุมพล และหม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ ร่วมถ่ายทอดพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรอันงดงาม
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พุทธศักราช 2447 ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสวัสดิวัฒนวิศิษฎ์ (พระอนุชาในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี
ทรงมีพระเชษฐา คือ หม่อมเจ้าโสภณภราไดย สวัสดิวัฒน์ และพระอนุชาร่วมพระมารดา คือ หม่อมเจ้านนทิยาวัด สวัสดิวัฒน์ หม่อมเจ้าอรชุนชิษณุ สวัสดิวัฒน์ หม่อมเจ้ายุธิษเฐียร สวัสดิวัฒน์ เมื่อเจริญพระชันษา 2 ปี พระบิดาทรงนำเข้าถวายตัวอยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่พระตำหนักสวนสี่ฤดู ในพระราชวังดุสิต
“หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีจะต้องตามเสด็จในฐานะนางพระกำนัลอย่างไม่เป็นทางการ หรือข้าหลวงตามเสด็จ เชิญโต๊ะเครื่องราชอิสริยยยศ เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ต้องเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้พอสมควร รู้หน้าที่ ในขณะเดียวกันสมเด็จพระพันปีหลวง ก็เข้าภาษาเด็ก ปล่อยให้วิ่งเล่นไล่จับ ซึ่งทำให้หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีในขณะนั้น ทรงเป็นนักกีฬา จึงมีพระจริยวัตรสองอย่าง กล่าวคือ เข้มแข็งแบบนักกีฬาและมีความนุ่นนวล”
หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล กล่าวถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี
“เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 มีพระชนมายุ 14 พรรษา มีรับสั่งหม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ว่า
‘ฉันเป็นผู้ใหญ่เลย’
แปลว่าพระชนมายุ 14 พรรษา ต้องแต่งงานกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา เข้าไปอยู่วังศุโขทัย ต้องเป็นนายหญิงของข้าราชบริพารผู้ใหญ่ที่มีทั้งสตรีและบุรุษ
หลังจากนั้นสองปี เสด็จฯ ไปต่างประเทศกับสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา ที่ฝรั่งเศส เนื่องจากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา ทรงรักษาพระวรกายพักหนึ่งและเข้าเรียนที่โรงเรียนเสนาธิการทหาร ก็ต้องทรงซ้อมรบตามที่ต่างๆ ซึ่งบางที่เป็นถิ่นทุรกันดาร มีพระนิพนธ์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงบันทึกว่า หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงตามเสด็จไปด้วยบ้าง
พระตำหนักที่ประทับเป็นบ้านที่ไปเช่าอยู่ในชนบทแห่งหนึ่งไม่มีห้องอาบน้ำ เมื่อทูลถามว่าอาบน้ำที่ไหนก็บอกว่า อาบน้ำที่ทะเล เหมือนเวลาอยู่ไทยเราอาบน้ำคลอง แต่เมื่อมีพระราชประสงค์อาบห้องน้ำ ก็นั่งรถไฟไปเมืองทางเหนืออยู่โรงแรมที่พอจะมีห้องน้ำ”
เมื่อหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี มีพระชันษา 21 ปีทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินี ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าจะสวรรคต เจ้านายก็ต้องไปอยู่ใกล้ที่บรรทม คนก็มาเข้าเฝ้าฯ ฝ่ายในก็มาแสดงความยินดีกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรณี เมื่อคนบางตาแล้ว เสด็จมาประทับกับหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล รับสั่งว่า
'การมีบุญ ไม่สนุกเลย'
แปลว่า ทรงทราบแล้วว่า ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน เรื่องสถาปนาสมเด็จพระราชินี เรามาพิจารณาว่าเป็นครั้งแรกที่สถาปนาสมเด็จพระอัครมเหสี ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกด้วย”
ชีวิตต้องเผชิญ
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2475-2576 ชีวิตที่แปรเปลี่ยนของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาล 7 ทรงแสดงความเข้มแข็งรักษาพระเกียรติ จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งหม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ เล่าว่า
“พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องตัดสินพระทัยว่าจะทำอย่างไร จะสู้ จะหนี หรือจะกลับกรุงเทพฯ เพื่อเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบบรัฐธรรมนูญ มีรับสั่งกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ว่า
'หญิงว่าอย่างไร'
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงตอบว่า
'กลับกรุงเทพฯ'
พ.ศ.2476 เหตุการณ์ที่ทหารไทยรบกันเองที่เรียกว่ากบฏวรเดช ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งว่าทรงแสดงให้เห็นว่า กล้าเผชิญกับภัยธรรมชาติและภัยที่เกิดจากมนุษย์ เสด็จพระราชดำเนินโดยเรือเล็กบรรทุกคนไทยไม่เกินไม่เกิน 20 คนจากวังไกลกังวลหัวหิน ลงไปที่สงขลา ตอนค่ำมืดในทะเลลึก เรือไม่สามารถวิ่งไกลฝั่งได้มากนัก
แล่นไปไม่นานก็ส่งคนไปหาน้ำมันมาเติมเรือ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงทำหน้าที่เป็นคุณแม่ในการแบ่งอาหารให้ลูกๆ ทุกคนรับประทาน คนละนิดคนละหน่อย พอจวนถึงสงขลา ปรากฏมีเรือจากบริษัทอีสต์เอเชียติ๊ก ประเทศเดนมาร์ก ชื่อเรือ ‘วไล’ ทำการเดินเรืออยู่แถวนี้ คนบนเรือกราบบังคมทูลว่า มีอะไรให้ช่วยเหลือไหม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รับสั่ง
'ช่วยนำเราขึ้นเรือวไล'
แล้วลากเรือวรุณ ซึ่งเป็นเรือลำเล็กที่ประทับไปด้วย ไปถึงสงขลาโดยปลอดภัย ส่วนเรือรบของทหารเรือไม่ยอมรบร่วมกับคนที่กรุงเทพฯ นำเรือรบทั้งหมด ออกปากอ่าว ตามมาถวายการอารักขาที่สงขลา ใช้เวลาในทะเลสองวันครึ่ง เป็นฉากชีวิตต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ”
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ในสายตาชาวต่างชาติ
การปรากฏพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ยามเสด็จเยือนต่างประเทศนั้น หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณเล่าถึงบันทึกที่สื่อมวลชน เขียนลงในสื่อแขนงต่างๆ ด้วยความปลื้มปีติ
“อีกหนึ่งปีต่อมา เสด็จพระราชดำเนินยุโรปในหลายประเทศอย่างเป็นทางการ ตลอดเวลาทรงแสดงเป็นกุลสตรีศรีสยาม ในขณะเดียวกันทรงแสดงพระองค์เป็นฝรั่ง ในพระราชอิริยาบถต่างๆ ซึ่งฝรั่งแสดงความชื่นชม เท่าที่เห็นเอกสารในหนังสือพิมพ์ เรื่องเสด็จเยือนอเมริกา
โปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีสตีเว่น สตีฟ ที่ปรึกษาการต่างประเทศของสยามล่วงหน้าไปก่อน เพื่อทำการประชาสัมพันธ์ประเทศสยาม เพราะคนอเมริกาโดยทั่วไปไม่รู้จักประเทศไทย ได้ภาพรวมว่าชาวต่างชาติชื่นชมกับพระสรวลที่ทรงแย้ม ความสง่างามในฉลองพระองค์ตามแบบตะวันตก ทรงเป็นกุลสตรีศรีสยามผู้ทรงงดงาม
ส่วนชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย มีคุณเอฟเค เอ็กซ์เซล ชาวอังกฤษ เคยเข้ามาเป็นครู ต่อมาเป็นนายธนาคารสยามกัมมาจลหลายปี เขียนหนังสือเรื่อง Siammistry ว่า ได้เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินีพระองค์ใหม่ ทรงพระดำเนินตามพระโกศรัชกาลที่ 6 เขาเห็นแล้วรู้สึกว่า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 มีพระราชอิริยาบถสอดคล้องกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสียนี่กะไร
ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินที่ยุโรป เป็นการเสด็จต่างประเทศครั้งสุดท้ายที่อังกฤษ พระเจ้าจอร์ชที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ทั้งสองพระองค์ เสด็จออกกับควีนแมร์รี่ ในพระพระราชพิธีสวนสนาม และประทับบนพลับพลากับเจ้านายจากยุโรปประเทศในงานแข่งม้า Royal Ascot ในทั้งสองพระราชพิธีของอังกฤษ ทั้งเจ้านาย ขุนนางและประชาชนทั่วไปย่อมได้ชื่นชมพระบารมีของสองพระองค์ด้วย
ต่อมาปี 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระราชสถานะของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ก็เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่งในทางปฏิบัติ คือ Prachathipok Princess of Sukhothai และ Princess of Sukothai
ในช่วงสละราชสมบัติ เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกำลังเริ่มประทับในอังกฤษใกล้ลอนดอน ต้องอพยพหนีระเบิดไปทางทิศตะวันตกของเกาะอังกฤษพักหนึ่ง กระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระหทัยไม่ดี เลยต้องอยู่ใกล้หมอ
ในที่สุดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2484 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงเป็นหม่ายเมื่อพระชนมายุ 37 พรรษา หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ทรงเขียนว่า ทรงเข้มแข็งมาก ไม่ทรงพระกรรแสงเลย พระองค์ทรงเก็บของในคอร์ดเพื่อเวนคืนในกิจการรักษาดินแดนและถวายพระเพลิงอย่างเรียบง่ายที่นั่น ตอนอัญเชิญพระศพไปสุสานแบบฝรั่ง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประทับยืนและรับสั่งว่า
‘เขาเอาไปแล้ว’ แล้วทรงพระกันแสง
เสด็จนิวัติประเทศไทย
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ประทับอยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ เล่าว่า ทรงดำรงพระชนม์ชีพเฉกเช่นสามัญชน
“สมเด็จทรงทำหน้าที่แบบคนชั้นกลางอังกฤษ ในการทำหน้าที่จิตอาสา ช่วยแพ็คชุดปฐมพยาบาล ในใจกลางกรุงลอนดอน เสี่ยงภัยต่อลูกระเบิด เมื่อสงครามเลิก หม่อมมณีบอกว่าเขาจะกลับ แต่พระองค์ท่านรับสั่งว่า
'ฉันจะไม่กลับ จนกว่าเขาจะถวายพระเกียรติคืนแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว’
กระทั่ง ปี 2491 รัฐบาลจอมพลป. กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินพร้อมพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับเมืองไทย เดือนพฤษภาคม 2492 และทรงเป็นควีนของรัชกาลพระองค์ก่อนอย่างที่รัฐบาลประกาศ
จะว่าไป สำหรับคนไทย เมื่อพระองค์เสด็จนิวัติประเทศไทย รัฐบาลวินิจฉัยว่า เขาไม่เคยให้ทรงสละหรือถอดจากสมเด็จพระบรมพระราชินี และทางรัฐบาลให้ขานพระนามว่า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 มีคนเล่าว่า มีคนนำธงราชินีไปปักที่หน้ารถพระที่นั่ง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 รับสั่งซึ่งเข้าใจว่า รับสั่งกับหม่อมเจ้าการวิก ว่าไม่ให้ปัก และโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบทำธงพระนามาภิไธย 'รพ' สีชมพู มาใช้แทน ที่ทรงรับสั่งเช่นนั้น เพราะอีกไม่นานในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ต้องมีพระราชินี ทรงทราบข่าวทรงหมั้น และก่อนท่านเสด็จกลับมาไทย เสด็จฯ ไปเฝ้าที่โลซาน และรับสั่งว่า
‘ฉันไม่ต้องการพัวพันกับกิจการบ้านเมืองอีกเลย’
ทรงใช้ชีวิตเรียบง่าย
“ทรงหาที่ประทับในชนบท ทรงซื้อที่ดินว่างเปล่านอกเมืองจันทบุรี กลายเป็นเรือกสวนไร่นาที่ทรงตั้งชื่อง่ายๆ ว่า 'สวนบ้านแก้ว' เพราะตรงนั้นมีคลองบ้านแก้ว ทรงทำประโยชน์ให้บ้านเมืองและท้องถิ่น ทำการเกษตรได้ดี พระราชทานผลผลิตแก่ชาวบ้านที่รับมาเป็นคนงาน แต่อย่าเข้าใจว่าที่ประทับอยู่จันทบุรี 18 ปี ทรงละทิ้งความเป็นเจ้านาย เสด็จพระราชดำเนินกลับมาอย่างน้อยปีละสองหน คือวันฉัตรมงคลและวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวงรัชกาลที่ 9 นี่คือพระราชจริยวัตรบางส่วนที่ผมเล่า”
พระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ หรือคุณหมึกแดง ทายาทข้าราชบริพารของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เป็นคนหนึ่งที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
“เมื่อสมเด็จย่า (สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7) เสด็จนิวัฒน์กรุงเทพฯ แม่ของผม (หม่อมหลวงประอร จักรพันธุ์) ก็มาถวายงานเป็นข้าราชบริพารกับสมเด็จย่ามาโดยตลอด ตั้งแต่นั้นได้เป็นนางพระกำนัล
พอแต่งงานกับคุณชายถนัดศรีและคลอดผม สมเด็จย่าพระราชทานตั้งชื่อให้ ทรงดูดวงว่าต้องมีตัว ‘ศ’ นำหน้า ตามพระนามของปู่ (หม่อมเจ้าเฉลิมศรีสวัสดิวัตน์ สวัสดิวัตน์) มาผนวกกัน กลายเป็น ‘ศิริเฉลิม’
ผมโตวังศุโขทัย ตอนเกิดสมเด็จย่าไปคลอดที่บางกอกเนิร์ทซิ่งโฮม สมัยนั้นหลังคายังมุมจากอยู่เลย แล้วย้ายมาอยู่พระตำหนักไม้ ส่วนพ่อ(หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์) เป็นคนที่ซนมาก พ่อก็เลยกราบพระบาทออกจากวัง ไปร้องเพลงสุนทราภรณ์ พ่อเป็นคนนอกคอกเหมือนผม ผมอยู่กับสมเด็จย่า ตอนสี่ขวบกับจิ๋ว(หม่อมหลวงเพิ่มวุทธ์ สวัสดิวัตน์) น้องชายอายุสามขวบ ถือธูปเทียนแพคลานเข้าไปถวายตัวกับสมเด็จย่า ผมอยู่วังศุโขทัยไปไหนก็ต้องตามเสด็จ ไปไหนก็ต้องไปด้วย”
พระราชจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7
"ที่วังศุโขทัย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ชอบทรงกล้องถ่ายหนัง ตอนผม 12 ปีไปอังกฤษ มีความผูกพันกับวังศุโขทัย ตรงที่ไม่ใช่วังหลวง ไม่ใช่วังพระเจ้าแผ่นดินที่ครองราชย์ เป็นวังที่รีแลกซ์ หลานทุกคนรวมทั้งผมไม่เคยพูดภาษาราชาศัพท์ สมเด็จย่ารับสั่งให้พูดจ๊ะจ๋า
ความที่ผมเป็นหลานคนโต ใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่า พี่ พี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้ สมเด็จย่าเลยเรียกผมว่า ‘ไอ้พี่’ แล้วทุกคนก็เรียกตามนั้น ส่วนชื่อ ‘หมึกแดง’ ที่คนทั่วไปเรียกติดปากกันจนมาถึงทุกวัน มาจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรกานตมณีเป็นผู้ประทานตั้งให้ โดยนำชื่อพ่อหมึก กับแม่ที่มีอีกชื่อว่าแดง มารวมกันเป็นหมึกแดง
ตั้งแต่เล็กผมจำได้ว่าผมจะขึ้นไปบนพระตำหนักใหญ่คลานขึ้นไป ทั้งที่นุ่งผ้าอ้อมแล้วก็นั่ง สมเด็จย่าเสวยพระกระยาหาร บนเก้าอี้ที่มีพนังพิง มีโต๊ะเสวยที่เลื่อนได้ เครื่องน่ากินมาก โดยเฉพาะตับบดเป็นอาหารที่หากินข้างนอกไม่ได้ มีแต่เฉพาะในวัง แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง คว้านเมล็ด ปอกริ้วหมด เราก็ได้แต่นั่งกลืนน้ำลาย
พระองค์ทรงหันมามองหน้าผม รับสั่งว่า
'ไอ้พี่ อยากกินมั้ย'
ก็ตอบไปว่า จ้ะ แล้วพระองค์ทรงปาดตับบดให้ กำลังเอื้อมมือเชียวนะ แม่ตีแล้วบอกให้กราบ (น้ำเสียงดุ) ก็กราบก่อน แล้วเอื้อมไปรับพระราชทานตับบด แล้วกิน รับสั่งว่า
'อร่อยมั้ย'
ก็ตอบไปว่า อร่อย เวลาเสวยพระกระยาหาร จะตั้งเครื่องจัดอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดินหรือพระราชินี จะมีสำรับของพระองค์ท่านเอง ซึ่งตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป ทรงนำวิธีการกิน การเลี้ยงแบบ Banquet วิธีการการใช้ส้อม มีด ซึ่งทำจากเครื่องเงินและคริสตัล ซึ่งรูปแบบทั้งหมดทรงนำกลับมาใช้ในพระราชวัง เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเป็นหม้อดิน เบญจรงค์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจผิด
ชุดภาชนะที่วังศุโขทัย ทำจากคริสตัลผลิตที่เชคโกสโลวาเกีย ช้อนส้อมขัดเงา ทำจากเงินจากอังกฤษมีตราตอกพระปรมาภิไธย ‘วป’ พระนามาภิไธย ‘รพ’ สั่งทำเป็นพิเศษ ช้อนส้อมขัดเงา ทำจากเงินจากอังกฤษ เป็นชุดที่ทุกรัชกาลทำแบบนี้
พอถึงเวลาสมเด็จย่าเสวย จะทรงไม่นั่งหัวโต๊ะ แต่ประทับนั่งกลางโต๊ะ แขกคนสำคัญจะนั่งฝั่งตรงข้าม วิธีการเสิร์ฟเริ่มจากพวกเรารออยู่ที่หน้าห้องเสวย พอเสด็จลงมา ทุกคนถวายคำนับ แล้วมีมหาดเล็กดึงพระเก้าอี้ถวาย เมื่อประทับปั๊บ เราก็นั่งประจำที่ของเรา
บนโต๊ะมีจานกระเบื้อง แก้วคริสตัลสวยมากเลย มหาดเล็กจะเสิร์ฟอาหารไทยให้สมเด็จย่าก่อน มีหม้อดินแบนๆ โปรดเสวยข้าวแดงนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของคาวใส่สำรับในโถเซรามิกผลิตจากเมืองนอก หรือคริสตัล เครื่องเสวยทุกอย่างจัดไว้ข้างหน้าพระองค์สำหรับเสวยพระองค์เดียว
จะเริ่มเสวยจากจานกลมๆ มีจานรูปไตวางอยู่ข้างๆ มีช้อน ส้อมแก้วและผ้าเช็ดปาก ซึ่งอาหารในวังต้องมีรสชาติไม่จี๊ดจ๊าด เพราะฉะนั้นอาหารคนขี้เมา อาหารป่า ปูปลาร้าอะไรนี่ ไม่มีเสิร์ฟในวัง
อาหารในวังมีรสกลางๆ ไม่เผ็ด ต้องปอกริ้ว อะไรที่เป็นผักต้องแกะสลักทั้งหมด ไม่มีก้าง ไม่มีเม็ด ความที่ผมเป็นเด็กที่โตในวังศุโขทัย ผมไม่เคยรู้เลยว่าปลาทูมีก้าง เพราะเคยกินแต่ปลาทูไม่มีก้างมาตลอดชีวิต
วันหนึ่งพ่อพาไปกินต้มยำปลาทูที่ไหนไม่รู้จำชื่อไม่ได้ ร้องลั่นเลย...พ่อนี่อะไรเนี่ย!! พ่อบอก ไอ้บ้า...อยู่ในวังเสียเคย เขาเรียกว่าหาง ก้างแล้วก็ครีบยังไงเล่า ผมก็ได้แต่พูดว่า อ๋อเหรอจ๊ะ เพราะที่ผ่านมาเคยกินปลาทูได้ทั้งตัว ผมเคยเข้าไปในห้องเครื่อง มีคนทำหน้าที่คีบก้างปลาออกจากพุง โดยทำให้มันเย็นเสียก่อน ประกบอีกทีได้ ติดกันแล้วเอาไปทอดแล้วยกขึ้น แล้วเอาหัวปลาเสียบเข้าไป เอามาใส่ถาดเงิน เสิร์ฟทางซ้ายแบบรัสเซียนเซอร์วิส
บนโต๊ะยังมีแกงเผ็ดกับแกงจืด เมื่อสมเด็จย่าเริ่มเสวยพระกระยาหารแล้ว ทุกคนก็ค่อยรับประทานอาหารโดยตักจากถาดกลางโต๊ะ ถ้าอยากได้เพิ่ม ให้มองไปที่มหาดเล็กแล้วมองที่อาหารที่อยากรับประทาน แล้วอาหารจะมาหาคุณเอง
สมเด็จย่าเสวยได้หมดทุกอย่าง ยกเว้นอาหารรสเผ็ด ไม่โปรดปลาร้า โปรดอาหารฝรั่ง ในวังเสิร์ฟของหวานแต่ไม่เสวยทุเรียน ซึ่งจันทบุรีเป็นเมืองผลไม้ ดังนั้นที่วังสวนบ้านแก้วมีเงาะ มังคุดมีหมด ไม่มีทุเรียนแม้แต่ต้นเดียว เมื่อเสวยเสร็จทรงรวบช้อนส้อม ทุกคนก็รวบช้อนตาม ซึ่งถ้าเป็นเวลาค่ำ จะทอดพระเนตรข่าวในพระราชสำนักทางทีวี”
พระราชทานเลี้ยงแก่ผู้มาเฝ้าฯ
“ครั้งหนึ่ง มีฝรั่งเคยมาร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหาร เมนูกิน พวกเมี่ยง กระทงทอง เป็นอาหารที่ต้องใช้มือหยิบรับประทาน ซึ่งต้องล้างมือในถ้วยแก้วเจียรไนขอบทองประดับตราพระนามาภิไธย ‘รพ’ ใส่น้ำลอยดอกมะลิ ความที่พวกฝรั่งไม่รู้ เลยยกถ้วยนั้นมาดื่ม สมเด็จย่าทอดพระเนตร ก็เลยยกถ้วยมาจิบแล้ววาง แม่ผมเป็นคนเจ้าระเบียบ ออกมาจากห้องเสวยบ่นว่า ฝรั่งกลับไปแล้ว ดื่มเข้าไปไง เขาเอาไว้ล้างมือ
ส่วนผมเป็นเด็ก ก็มีหน้าที่คุยทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน กระทั่งเริ่มโตขึ้น เมื่อเห็นสมเด็จย่าเสด็จมาก็ถวายคำนับ พอเดินใกล้ๆ ลงกราบที่พระบาทแล้วลุกขึ้นยืนหอมแก้มสองครั้ง หลานทุกคนทำอย่างงั้น ญาติทุกคนทำแบบฝรั่งเป๊ะ กระทั่งผมก็ไปเรียนเมืองนอก เขียนจดหมายกราบบังคมทูลแด่สมเด็จย่า สมัยนั้นเวลาจะติดต่อใครก็ต้องเขียนจดหมายแทนเพราะค่าโทร.แพงมาก ก็เขียนจดหมายด้วยภาษาอังกฤษเพราะภาษาไทยไม่แข็งแรง
มีเรื่องตลกๆ จะเล่าให้ฟัง ผมกลับมาจากอังกฤษอายุ 18 ปีลงจากเครื่องบินกลับมาที่บ้าน แม่จับตัดผมแล้วให้กลับไปที่วังศุโขทัย แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วไปเฝ้าฯ สมเด็จย่าที่สนามกอล์ฟ แม่สั่งผมไว้ว่า แกอายุ 18 แล้วเป็นผู้ใหญ่แล้ว ให้พูดราชาศัพท์กับสมเด็จย่า ไม่ใช่ว่าผมพูดไม่ได้ ผมพูดได้มาตลอดทั้งชีวิต ก็ถามอีกว่า ให้ทำอย่างนี้จริงหรือเปล่าแม่ แม่บอก อืม ให้พูดราชาศัพท์ เมื่อไปเฝ้าฯ สมเด็จย่า ก็พูดว่าข้าพระพุทธเจ้ากลับมาแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ สมเด็จย่าหันพระพักตร์ แล้วรับสั่งว่า
'อะไรนะไอ้พี่'
ผมกราบบังคมทูลว่า แม่ข้าพระพุทธเจ้าบอกว่า ตอนนี้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องถวายพระเกียรติใต้ฝ่าละอองพระบาท ต้องพูดราชาศัพท์ มีรับสั่งนั่งลง เราก็นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นหญ้า พระองค์ก็ลูบหัว รับสั่งว่า
'ถ้าเราออกงานหลวงให้พูดราชาศัพท์ แต่ถ้าเป็นไพรเวทอย่างนี้อยู่กับย่า จ๊ะจ๋าเหมือนเดิม'
เราก็บอกพระพุทธเจ้าค่ะ พระองค์รับสั่ง
'อะไรนะ' (พระสุรเสียงดุ)
เราก็พูด จ่ะ เหมือนเดิม
ผมถวายคำนับแล้วก้มลงกราบพระบาท แล้วก็หอมแก้มสองข้าง รับสั่ง
'เป็นไง...ไอ้พี่กลับมาแล้วเหรอ'
จากนั้น เสด็จพระเดินกลับเข้ามาถึงที่สโมสร เสวยพระสุทธารสชาเรียบร้อย ก็จะมีพวกนายพลเต็มไปหมดที่มาเล่นกอล์ฟกับสมเด็จย่า เราเป็นเด็กตัวเล็กๆ นั่งอยู่ข้างหลัง ส่วนแม่ก็นั่งอยู่ข้างๆ เป็นนางสนองพระโอษฐ์
ทุกครั้งที่เสวยเสร็จ จะมีหีบบุหรี่ ตราพระนามาภิไธย รพ ทำจากงาช้างสวยมาก ทรงเปิดหีบหยิบบุหรี่แล้วก็ตอกมวนบุหรี่ สมัยก่อนเวลาจุดบุหรี่จะใช้ไม้ขีด พอกำลังจะจุด ก็มีนายพลคนหนึ่งลุกขึ้นยืน ตะเบะปั้บตบเท้าดังโป๊ะอย่างทหาร แล้วพูดว่า
“ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต พระพุทธเจ้าค่ะ” แล้วจุดไฟแช็ค พร้อมกับพูดว่า “ขอถวายพระเพลิง”
สมเด็จย่าทรงน่ารักมาก ก็ให้เขาจุดบุหรี่ให้แล้วรับสั่งแบบเงียบๆ ว่า
'ยังไม่ถึงเวลา'
พระราชกรณียกิจในระหว่างประทับในจังหวัดจันทบุรี
หม่อมหลวงศิริเฉลิมเล่าว่า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงมีที่ประทับแปรพระราชฐาน ณ พระตำหนักสวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี
“สมเด็จย่าทรงซื้อที่ไว้สร้างพระตำหนักเล็กๆ และเรือนต่างๆ สำหรับข้าราชบริพารที่ตามเสด็จไปถวายงาน เวลาเสด็จไปนั่น โดยมากมีรถนำ แล้วพอไปถึงพัทยาก็เสวยพระกระยาหารเที่ยง เข้าห้องสรง แล้วออกเดินทางบนถนนที่มีแต่ลูกรัง แล้วรถสมัยนั้นไม่มีแอร์
ช่วงปิดเทอมนานราวสามเดือน ผมไปจันทบุรีตอนเด็กๆ ถนนลาดยางไปถึงแค่พัทยา สองข้างเป็นคูน้ำ หัวผมสีแดงทั้งหัวเพราะฝุ่นถนนจนแทบมองไม่เห็นข้างหน้า ที่สวนบ้านแก้ว พระตำหนักเทาสร้างเสร็จใหม่ๆ มีเตาทำอาหาร มีถ่านที่เผาไม้ทำเอง มีเครื่องปั่นไฟไว้ใช้เอง
หลังจากเสวยพระสุทธารสชา ทรงพระดำเนินกับสุนัขทรงเลี้ยง ไปที่สวนเลี้ยงไก่ ทรงใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนคนอยู่ต่างจังหวัดทั่วไป ไม่หรูหรา แต่ก็ยังมีกฎเกณฑ์แบบชาววัง เวลาเราเผลอทำเสียงดังตอนกลางคืน ข้าหลวงประจำห้องบรรทม มากเอ็ดพวกเราว่า เงียบๆได้แล้ว เสด็จเข้าห้องบรรทมแล้ว ทุกคนก็ทำตัวเงียบกริบ
ส่วนพระราชกรณียกิจอื่นๆ ทรงปฏิบัติดังเดิม เช่นวันสงกรานต์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทูลกระหม่อมพระองค์ต่างๆ เสด็จพระราชดำเนินมาสรงน้ำ เมื่อเสด็จฯ ถึงแล้วเสด็จไปประทับในห้อง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประทับที่พระเก้าอี้ก็ทรงเกี่ยงกัน
จากนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสรงน้ำแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงประทับเอียงๆ สรงน้ำบนโซฟาเดียวกัน แล้วสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ลงประทับที่พื้นแล้วโปรดฯ ให้สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมทั้งทูลกระหม่อม เป็นภาพที่น่ารักมาก
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 กลับมาประทับที่สวนบ้านแก้ว ที่นี่ยังมีโรงเสื่อทรงสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมอาชีพทำเสื่อจากกกแก่ชาวบ้าน นับเป็นโอทอปอันดับแรกๆ ของเมืองจันทบุรี ทั้งที่เดิมทีกก เป็นพืชที่คนเห็นชินตาให้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณค่าและความสวยงาม
วันหนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงทำมีดบาดนิ้ว เมื่อไปโรงพยาบาลทอดพระเนตรเห็นเครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย มีพระราชดำริขยายโรงพยาบาลพระปกเกล้าให้มีความเพียงพอสำหรับการรักษาคนไข้ ทรงรับเป็นพระราชภาระในการระดมทุนเพื่อการสร้างห้องผ่าตัดตึกหลังใหม่
ด้านการศึกษา ทรงให้การสนับสนุนพระราชทานทุนเล่าเรียนแก่นักเรียน นักศึกษาวิทยาลัยครู วิทยาลัยพยาบาล พระปกเกล้า พระองค์ประทับอยู่นาน 18 ปี ทำให้ชาวจันทบุรีรักพระองค์ท่าน รวมทั้งคนไทยทั้งแผ่นดิน
ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
"ที่ประทับใจมากที่สุด คือว่า ผมเป็นหลาน คนรุ่นหม่อมหลวงจะรู้เลยว่าสมเด็จย่ารักผมมากที่สุด แต่ผมก็ไม่ทราบว่า ท่านโปรดผมแค่ไหน กระทั่งทรงจัดงานพระราชทานเลี้ยงวันเกิดผมที่สนามกอล์ฟแถวทางไปพัทยา ในงานมีผู้ใหญ่นั่งโต๊ะเสวยกัน ผมก็นั่งโต๊ะเด็ก
พอถึงเวลาเริ่มงาน วงดนตรีบรรเลงเพลงขึ้น แม่บอก ไป...นี่งานของแก ลงกราบพระบาทขอเต้นรำกับสมเด็จย่า ผมก็ลงกราบพระบาทพระองค์ บอกว่า ขอพระราชทานเชิญเสด็จเต้นรำกับพี่ได้ไหม ทรงลุกจากพระเก้าอี้ เสด็จออกมาเต้นรำแล้วก็ทุกคนก็เต้นรำด้วย กำลังเต้นๆ อยู่นี้ ผมก็เห็นสร้อยพระศอ สวยมาก ดีไซน์ลวดลายสร้อยเป็นแบบสมัยใหม่ เป็นก้อนหินหลายสี ตัวเรือนเป็นทองประดับเพชร
ผมเต้นรำอยู่ตั้งนาน ก็กราบบังคมทูลถาม สมเด็จย่าจ๋า สร้อยพระศอสวยมากเลย หินอะไรจ๊ะ พระองค์ท่านก็รับสั่งว่า
‘เพชรที่ยังไม่เจียระไนมีหลายๆ สี’
เราบอกโอ้โห สมัยใหม่จังเลย พระองค์รับสั่งว่า
'หลานย่าโตแล้วไง สมัยใหม่แล้วย่าก็ต้องตามให้ทัน’
ผมฟังแล้วเกือบจะร้องไห้ ผมไม่รู้จะพูดว่าไง เสียดายมากที่สุดตอนที่เสด็จสวรรคต ผมกำลังทำกรีนการ์ดอยู่ที่อเมริกา กลับมาไม่ได้ ถ้ากลับมาก็เสียโอกาส ไม่รู้ทำยังไง ส่งโทรเลขแล้วเขียนจดหมายมาบอก พ่อโกรธมาก แม่ก็โกรธเรากบอกว่าเรากลับไม่ได้จริงๆ
คนทั่วไปคิดว่าการใช้ชีวิตในวังมันดี โก้หรูหราเก๋ ไม่นะคุณ ปวดหัวเลยแบ่งพรรคเป็นก๊ก เหมือนการเมืองไทย ปรากฏว่าผมอยากหนีตรงนั้นไป แต่เราก็หนีไม่พ้น หลังจากได้กรีนการ์ดผมก็กลับมาเมืองไทย ถวายงานพระบรมวงศานุวงศ์”
อุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล
"ผมกลับมาไทยแล้วไปบวชถวายสมเด็จย่าที่วัดอนาลโยทิพยาราม จังหวัดพะเยา และทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่าที่วัดราชาธิวาส ผมจำได้ว่าพอจุดไฟธูปเทียน ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ แล้วพายุฝนไม่รู้มาจากไหนเทลงมา หลังจากนั้นผมสวดมนต์ถวายพระพรพระองค์ท่านทุกวันทุกคืน ด้วยเพราะพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ผมเป็นคนอย่างนี้
สมเด็จย่าใจดี ไม่เคยกริ้ว ถ้าใครทำสมเด็จย่าโกรธได้นี่คงตกนรก ทรงเป็นผู้หญิงที่ทั้งเป็น ทั้งงาม Sweet Kind Wonderful Woman ผมปวารณาว่าจะเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 อยู่เสมอเพราะเราเป็นลูกหลานท่าน แต่เพื่อถวายพระเกียรติยศพระองค์ท่าน แม่ของผมสอนมาแต่เด็กผมว่า เรานับญาติกับพระองค์ท่านไมได้ เราคือข้าราชบริพาร
ผมจำคำนี้เสมอ ผมคงไม่เป็นหมึกแดงเหมือนทุกวันนี้ ถ้าไม่มีสมเด็จย่าคอยสอนให้เราเห็นถึงความเรียบง่าย การอ่อนน้อมถ่อมตน การที่มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารีกับคน เป็นคนไม่โลภ ผมอยากให้ทุกคนรำลึกถึงพระองค์ท่าน คุณงามความดีที่ทรงทำไว้ตลอดไป”












