Zero Carbon Vision: พลิกพลังธุรกิจไทย ก้าวสู่อนาคตใหม่ของโลก

Zero Carbon Vision: พลิกพลังธุรกิจไทย ก้าวสู่อนาคตใหม่ของโลก ผลการ "ขยับตัว" ของภาคธุรกิจ ในการที่จะนำภารกิจลดอุณหภูมิโลก เป็นหมุดหมายสำคัญของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการกำหนดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
เชื่อไหมว่า หาก อุณหภูมิโลก ของเราเพิ่มขึ้นเพียง 1.5 องศาเซลเซียส ปริมาณสัตว์น้ำในทะเลจะหายไปร้อยละ 0.8 ผลผลิตข้าวสาลี ซึ่งเป็นธัญพืชที่คนกว่า 1 ใน 3 ของโลกบริโภคเป็นอาหารหลัก จะหายไปกว่าร้อยละ 9 ส่งผลให้มีจำนวนผู้หิวโหยกว่า 870 ล้านคน อาจทะลุ 1,340 ล้านคน หากอุณหภูมิโลกของเราเพิ่มขึ้นทะลุ 3 องศาเซสเซียส “สภาพภูมิอากาศผันผวน” เป็นความท้าทายโลกที่สำคัญที่สุด กอปรกับความท้าทายอื่นๆ ส่งผลให้โลกก้าวเข้าสู่ "โลกใหม่ที่ไร้ระเบียบ" ท่ามกลาง "ระเบียบโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ" หรือ "Multipolar"
ความท้าทายดังกล่าว ภาคธุรกิจจึงไม่อาจยึดเพียงเป้าหมาย "การเติบโตทางการเงินเป็นเข็มทิศ" หากแต่ต้องก้าวข้ามสู่บทบาท "ผู้สร้างอนาคตที่ยั่งยืน" ให้กับ "สังคม" และ "สิ่งแวดล้อม"
ผลการ "ขยับตัว" ของภาคธุรกิจ ในการที่จะนำภารกิจลดอุณหภูมิโลก เป็นหมุดหมายสำคัญของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการกำหนดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งหากดำเนินการอย่างมีความคืบหน้า จะย่อมไม่เพียงทำให้ภาคธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน หากยังเป็น "ประตูแห่งโอกาส" ที่จะนำพา "ธุรกิจ-อุตสาหกรรม" ของประเทศ พลิกโฉมไปสู่ "ความชาญฉลาด" (Smart) "ปลอดภัยต่อผู้คน" (Safe) และ "มั่นคงยั่งยืน" (Sustainable)
ว่าที่จริงการดำเนินการดังกล่าวของภาคธุรกิจ ไม่ได้พึ่งริเริ่ม หากดำเนินการมาแล้วสักระยะ ไม่ว่าจะเป็น การเข้าร่วมการรับรอง "Science Based Targets initiative" หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า "SBTi" ขององค์กรธุรกิจทั่วโลกมากกว่า 2,000 องค์กร (และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง) เพื่อพิสูจน์ "ตัวเอง" และ "สังคม" ว่าธุรกิจนั้นผ่านมาตรฐานสากลที่ตรวจสอบ และรับรองเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนขององค์กร “สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ” ลึกเข้ามายังประเทศไทย เราเห็นหลายองค์กรในประเทศไทยประกาศ "Net Zero Target" เป็นหนึ่งในนโยบาย "เรือธง" ของการดำเนินธุรกิจ เรายังเห็นความร่วมมือของหุ้นส่วนขององค์กรธุรกิจไทย ที่ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนบนหลักการสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับวาระความยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) อย่าง "UN Global Compact Network Thailand" หรือ "UNGCNT" โดยประเด็น "ลดก๊าซคาร์บอน" ก็เป็น "พันธสัญญา" สนับสนุนกลยุทธ์ความร่วมมือเพื่อให้ธุรกิจไม่เพียงอยู่รอดในตลาดโลก หากยังได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างไร้ข้อกังขา
ขณะเดียวกัน เราต้องยอมรับว่า "แรงกดดัน" โดยเฉพาะสิ่งที่ผมอยากเรียกว่า "แรงกดดันจากลูกค้าเชิงระบบ" หรือ "Systemic Customers" จากบริษัทใหญ่ๆ ต่อองค์กรธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานต้องปรับตัว อาทิ "Uniliver" ได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero “ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่มูลค่าของผลิตภัณฑ์” (Scope 1-3) ภายในปี 2039 ซึ่งนั้นเป็นผลให้ “คู่ค้า” ต้องปรับตัวให้ได้ เช่นเดียวกับ “Walmart” ได้ประกาศเป้าหมายที่ท้าทาย เพื่อทำงานร่วมกับ “คู่ค้า” เพื่อลด หลีกเลี่ยง หรือดูดซับคาร์บอนให้ได้ 1 กิกะตันภายในห่วงโซ่มูลค่าของผลิตภัณฑ์ภายในปี 2030 หรือที่เรารู้จักกันผ่าน “Project Gigaton” ด้วยมาตรการเชิงปฏิบัติที่เข้มข้น อาทิ ลดการสูญเสียอาหาร ออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ หรือการเพิ่มการขนส่งสินค้า อีกแรงกดดันที่ผมอยากให้ความสำคัญคือ แรงกดดันจากนักลงทุน และหน่วยงานจัดอันดับด้าน ESG ซึ่งเรามักเห็นนักลงทุนจากสถาบันระดับโลก เช่น BlackRock หรือ Vanguard มักเน้นลงทุนในบริษัทที่มีกลยุทธ์ Net Zero และการรายงาน ESG ที่โปร่งใส ขณะที่หน่วยงานจัดอันดับ เช่น MSCI, Sustainalytics, DJSI จะประเมินบริษัทจากการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และหากได้คะแนนสูง ก็ย่อม “เนื้อหอม” ดึงดูดนักลงทุนสากล และเข้าถึงต้นทุนเงินทุนที่ถูกกว่า ที่สำคัญที่สุด คือบรรดากฎระเบียบระหว่างประเทศ ที่ผูกพันองค์กรธุรกิจ อาทิ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่เป็นผลให้คู่ค้าต้องจัดทำรายงานก๊าซคาร์บอนอย่างโปร่งใส มิฉะนั้นจะเสียภาษีสูงขึ้น
แรงกดดันเหล่านี้ทำให้เทรนด์การดำเนินธุรกิจแปรเปลี่ยนจาก “กำไร” คือ ผลลัพธ์” ทางธุรกิจ แปรเปลี่ยนเป็น “ความยั่งยืน” คือ “ความสำเร็จ” ทางธุรกิจ
กล่าวคือการปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนไม่ได้หมายถึงเพียงการตอบสนองต่อแรงกดดันจากลูกค้า นักลงทุน หรือหน่วยงานจัดอันดับ ESG เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง การยอมรับความคาดหวังจากสาธารณชน ที่ต้องการให้ธุรกิจดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อโลกและสังคม องค์กรที่เข้าใจและตอบสนองต่อความคาดหวังนี้ได้อย่างชัดเจน จะสามารถเปลี่ยนความยั่งยืนให้กลายเป็น โอกาสเชิงกลยุทธ์ เปิดทางสู่ตลาดใหม่ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับผู้บริโภค นักลงทุน และพันธมิตรทั่วโลก ในขณะเดียวกัน การสร้างมาตรฐานภายในองค์กรให้สอดคล้องกับแนวทาง ESG ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และวางรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ออกแบบ กลยุทธ์ 5 Transformation เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนและขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตที่มั่นคง 1.Transparency หรือ ความโปร่งใส เราตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถวัดผลได้จริง และรายงานอย่างโปร่งใสทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค นักลงทุน และพันธมิตรธุรกิจ 2. Market Mechanism หรือ กลไกตลาดและความร่วมมือ การใช้กลไกตลาดเชิงกลยุทธ์และเครือข่ายความร่วมมือ ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างโอกาสใหม่ ลดต้นทุน และพัฒนาห่วงโซ่อุปทานสีเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. Leadership & Talents หรือ ผู้นำและบุคลากร การพัฒนาผู้นำและบุคลากรทุกระดับ ผ่าน Action-based Learning ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจในความยั่งยืน สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และลงมือปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว 4. Empowerment หรือ การมอบอำนาจและความรับผิดชอบ แต่ละธุรกิจและหน่วยงานภายในเครือได้รับโอกาสลงมือปฏิบัติจริง พร้อมความรับผิดชอบเต็มที่ ทำให้ทุกโครงการลดคาร์บอนและสร้างความยั่งยืนมีผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และ 5.Innovation & Technology หรือ นวัตกรรมและเทคโนโลยี การเปิดรับ Open Innovation การร่วมมือกับสตาร์ทอัพ และการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี Low Carbon ทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์สามารถสร้างผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่ชาญฉลาด ปลอดภัยต่อผู้คน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อต่อยอดจากกลยุทธ์ 5 Transformation การลดคาร์บอนไม่ได้เป็นเพียงโครงการ CSR แยกออกมา แต่ต้องฝังอยู่ในทุกฟังก์ชันของธุรกิจและห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้ความยั่งยืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ขององค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงนำ Supplier Code of Conduct มาผูกเข้ากับการคัดเลือกคู่ค้า เปิด Carbon Calculation Platform ให้ซัพพลายเออร์ใช้งานฟรี และจัด Supplier Forum เพื่อยกระดับความเข้าใจและความสามารถด้านการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมสนับสนุนให้คู่ค้าใช้พลังงานหมุนเวียนผ่านธุรกิจใหม่อย่าง Altervim ซึ่งช่วยสร้างโซลูชันพลังงานสะอาดให้เกิดขึ้นจริงในห่วงโซ่มูลค่า
ด้าน Digital Transformation และบทบาทของ AI ถูกนำมาเสริมประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของธุรกิจ ทั้งในต้นน้ำของการเกษตรผ่าน Precision Farming, IoT Sensors และระบบ Traceability ที่ช่วยลดความสูญเสีย กลางน้ำของการผลิตด้วย AI Smart Control, Supply Chain Optimization และ Energy Monitoring เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซ และปลายน้ำของค้าปลีกผ่าน AI Inventory Management, Cybersecurity และ Data Trust ที่บริหารสินค้าอย่างชาญฉลาดและมั่นคง เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การเดินทางสู่ Smart, Safe, Sustainable Industry เป็นจริงได้ และช่วยให้เราตอบสนองต่อความคาดหวังของสาธารณชน นักลงทุน และตลาดโลกได้อย่างชัดเจน
ในเวทีการแข่งขันระดับโลก การลดคาร์บอนไม่ใช่ตัวเลือก แต่คือเงื่อนไขที่ทุกอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติ อุตสาหกรรมไทยจึงต้องไม่เพียงปรับตัว แต่ต้องก้าวนำอย่างชาญฉลาด เริ่มตั้งแต่การวัดการปล่อยก๊าซ Scope 1, 2 และ 3 อย่างโปร่งใส การตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซตามหลักวิทยาศาสตร์ การใช้พลังงานหมุนเวียน ประหยัดพลังงาน และสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในองค์กร รวมถึงการดึงซัพพลายเออร์เข้ามาเป็นพันธมิตร และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตลาดโลกต้องการจริง
ด้วยแนวทางดังกล่าว ประเทศไทยกำลังสร้างต้นแบบอุตสาหกรรมที่ไม่เพียงปรับตัวเพื่ออยู่รอด แต่สามารถแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดโลก การวัดผลและการลงมือปฏิบัติอย่างเป็นระบบในทุกฟังก์ชันของธุรกิจ การพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าให้ใช้พลังงานหมุนเวียนและลดคาร์บอน การขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการตอบสนองต่อความคาดหวังของสาธารณชน นักลงทุน และพันธมิตรทั่วโลก
ทั้งหมดนี้คือ “การรีดีไซน์อุตสาหกรรมไทย” ให้สมดุลทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และนวัตกรรม
สุดท้ายแล้ว “ภารกิจลดคาร์บอน คือมากกว่าการลดคาร์บอน แต่มันคือการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ฉลาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และยั่งยืนขึ้น” เพื่อให้ธุรกิจไทยไม่เพียงอยู่รอด แต่สามารถก้าวขึ้นมาแข่งขันได้ในเวทีโลก “Smart, Safe, และ Sustainable สู่ Thailand Forward.”







