Cell and Gene Therapy ความหวังใหม่ของการรักษามะเร็ง

ปิดฉากการประชุมวิชาการประจำปี BDMS Academic Annual Meeting 2025 ตลอดทั้ง 5 วันถือว่าประสบความสำเร็จ มีบุคลากรทางการแพทย์ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์
งาน BDMS Academic Annual Meeting 2025 มีการบรรยายพิเศษจาก ศาสตราจารย์ ริชาร์ด มาซิอาร์ซ (Prof. Richard Maziarz) จาก Oregon Health & Science University (OHSU) ในหัวข้อ "The Future of Cancer Treatment - Cell and Gene Therapy" หรืออนาคตของการรักษามะเร็ง จากการบำบัดด้วยเซลล์และยีนส์
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด มาซิอาร์ซ กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นการรักษา มะเร็ง แบบการให้เคมีบำบัดสู่ปัจจุบันเทคโนโลยีการรักษามีความก้าวหน้าอย่างมาก อย่างการรักษามะเร็งจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีนส์ หรือการทำ Cell and Gene Therapy โดยเป็นการรักษาที่เจาะจง สามารถปรับการรักษาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ประสิทธิภาพการรักษาที่ดีขึ้นและลดผลข้างเคียงของการรักษา ใช้เวลาฟื้นตัวเร็วกว่าการให้เคมีบำบัด
มะเร็ง ยังคงเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก แต่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันได้เปิดประตูสู่แนวทางการรักษาใหม่ที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ล่าสุด ศาสตราจารย์ ริชาร์ด มาซิอาร์ซ จาก Oregon Health & Science University (OHSU) ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “The Future of Cancer Treatment - Cell and Gene Therapy” หรือ “อนาคตของการรักษามะเร็งจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีนส์”
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด กล่าวถึงวิวัฒนาการของการรักษาโรคมะเร็งว่า การรักษาโรคมะเร็งเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เมื่อมีรายงานผู้ป่วยรายแรกที่รักษาหายด้วยการใช้เคมีบำบัดร่วมกัน ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของวงการแพทย์ อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยเคมีบำบัด การฉายรังสี หรือแม้แต่การผ่าตัด ล้วนเป็นการรักษาเชิงรุกที่อาจสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อในร่างกายได้
“เคมีบำบัดมีผลข้างเคียงมากมาย ซึ่งเราทราบกันดี เช่น ผู้ป่วยสูญเสียเส้นผม ซึ่งเป็นสัญญาณภายนอกของความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ สิ่งที่เราทำกับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนในปัจจุบัน คือการใช้ระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกาย ที่พัฒนาและเรียนรู้มาตลอดชีวิต เพื่อปกป้องเราจากการรุกรานของเชื้อโรค” ศาสตราจารย์ กล่าว
ระบบภูมิคุ้มกัน มีหน้าที่หลักในการป้องกันการติดเชื้อ แม้มันจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องอวัยวะภายในโดยตรง แต่ในอีกด้านหนึ่งระบบภูมิคุ้มกันก็ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน เพราะมันสามารถจดจำและแยกแยะได้ว่า เซลล์ในร่างกายเราควรมีลักษณะอย่างไร เมื่อร่างกายเกิดมะเร็งหรือมีการติดเชื้อที่ควบคุมไม่ได้ นั่นหมายความว่าระบบภูมิคุ้มกันได้สูญเสียสมดุล ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงด้วยวิธีการรักษาที่ตรงจุด
“สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน คือการใช้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเองในการฟื้นฟูสมดุล เพื่อให้ร่างกายกลับมาควบคุมและยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกครั้ง” เขากล่าวเพิ่มเติม พร้อมชี้ให้เห็นว่า การใช้ระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นพลังในการรักษาเนื้องอกหรือมะเร็งนั้น เป็นการใช้ศักยภาพของร่างกายเองโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อเหมือนกับเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการแพทย์สมัยใหม่







