โครงสร้างพื้นฐานเพื่อความยั่งยืน ‘กรีนซิตี้’ ปั้นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน

“กรุงเทพธุรกิจ” ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 (SX2025) จัดงานสัมมนา “A Call for Adaptation : The Sustainability in Trade & Industry” เพื่อนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน เสวนาในหัวข้อ Collab Talk : Infrastructure for Green CITY
ณัฐนี วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่าย การพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการ วัน แบงค็อก กล่าวว่า โครงการ “วัน แบงค็อก” เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีทั้งอาคารสำนักงาน อาคารที่พักอาศัย และห้างสรรพสินค้า เชื่อมต่อกันด้วยพื้นที่เปิดโล่งภายนอกอาคาร ต้องมีโครงการสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น สมาร์ตกริด (ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ) และระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ “นี่คือวิธีการวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเมืองว่าทำอย่างไรให้มีของตรงกลาง แล้วแบ่งกันใช้ได้” รวมทั้งถ้าถามว่าโครงสร้างพื้นฐานตัวไหน ที่สำคัญและผลักดันการพัฒนาเมืองสู่ กรีนซิตี้ (Green City) ได้นั้น ตัวขับเคลื่อนเมืองสำคัญที่สุดหนีไม่พ้น “ระบบพลังงาน” กิจกรรมต่างๆ ในเมืองเกิดขึ้นได้เพราะมีพลังงาน โดยเฉพาะสมาร์ตกริดที่มีส่วนสำคัญในการจัดการความต้องการไฟฟ้า โดยในอนาคตที่จะก้าวสู่การเป็นเน็ตซีโร่ (Net Zero) ระบบสมาร์ตกริดก็จะเข้ามาเชื่อมต่อกับระบบ พลังงานทดแทน ส่วนโครงสร้างพื้นฐานตัวที่ 2 “ระบบน้ำ” เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ด้วยเหตุการณ์ Climate Change ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นโจทย์ให้เราคิดว่าจะลดการพึ่งพาทรัพยากร ส่วนนี้อย่างไร เราจะรีไซเคิลน้ำอย่างไรดี และโครงสร้างพื้นฐานตัวที่ 3 “พื้นที่สีเขียว” นี่คืออีกปัจจัยสำคัญที่เราอาจจะไม่ทัน มองเท่าไร เพราะนอกจากพลังงานกับระบบน้ำที่เรามีอยู่แล้วให้เมืองเกิดการขับเคลื่อน ต้องดูด้วยว่าเมืองอยู่ได้ดีหรือไม่ ด้วยต่อให้เรามีทรัพยากรเหลือเฟือก็ตาม แต่ถ้าเมืองของเรามันไม่น่าอยู่ การใช้ชีวิตในเมืองก็คงจะเป็นกรีนซิตี้ไม่ได้การมี พื้นที่สีเขียว จะทำให้คนมีโอกาสทำกิจกรรมสันทนาการมากขึ้น มีกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ ได้ออกกำลังกาย การมีสุขภาพที่ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นส่วนสำคัญของการสร้างกรีนซิตี้
ดาเนียล รอสส์ ผู้อำนวยการใหญ่ สายการลงทุนและหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเพื่อ ความยั่งยืน บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มุมมองปัจจัยสู่ ความยั่งยืน 3 ด้าน คือ 1.Environmental Responsibility ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใช้แหล่งพลังงานที่ยั่งยืน 2.Social Accessibility ระบบขนส่ง ต้องเข้าถึงง่าย และมีราคาที่เหมาะสม 3.Economic Viability การลงทุน และการใช้จ่ายต้องคุ้มค่า สำหรับ 3 ปัจจัยนี้เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเพื่อให้ประเทศไทยไปสู่ Multimodal Transport คือการเชื่อมโยงระบบ ราง ถนน อากาศ และน้ำ อีกทั้งต้องมุ่งสู่การพัฒนาระบบขนส่งที่ต้องมีความ Climate Resilient คือ ปรับตัวได้ต่อสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม หรือความร้อน โครงสร้างพื้นฐานต้องพัฒนาให้ได้ ต้องสะดวก และตอบโจทย์ แก้ปัญหาอากาศร้อนให้กับผู้โดยสาร อย่างไรก็ดี บทบาทของระบบราง Electric Rail Mass Transit เป็นรูปแบบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุด รองจากการเดินและปั่นจักรยาน อีกทั้งยังมีความคุ้มค่าที่สุดในเชิงขนาด และความปลอดภัยที่สุด โดยสถิติพบว่า ภาคการขนส่ง ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 30% ของทั้งประเทศ ขณะที่ประชาชน ยังเดินทางด้วยรถยนต์ 80% ต่อวัน ซึ่งก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนถึง 95% ของภาคการขนส่งในขณะที่ระบบรางรองรับ 15% ของการเดินทาง แต่ปล่อยคาร์บอนเพียง 3% ของภาคการขนส่ง
มงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา กล่าวว่า การดำเนินงานของบริษัทฯ ตั้งเป้าทำธุรกิจที่ช่วยลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซ ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ช่วยพาร์ตเนอร์และลูกค้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไปแล้ว 734 ล้านตัน จากเป้าหมาย 800 ล้านตันภายในปีนี้ และตั้งเป้าบรรลุคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutral) ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่การผลักดันเมืองสีเขียว บริษัทฯ มองว่าต้องเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าและดิจิทัล เทคโนโลยีคือ Smart Grid ซึ่งจะเป็น แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงฝั่ง Supply และ Demand เพื่อให้ใช้ พลังงานสะอาด ได้มากที่สุด อีกทั้งต้องสนับสนุนให้เกิดการพัฒนา Transportation การมีระบบขนส่ง พลังงานสะอาด (อีวี) และมีจุดชาร์จรองรับ เป็นเทรนด์ของโลกในขณะนี้ รวมไปถึงระบบรางรถไฟฟ้าที่จะมีมากขึ้น ส่วนนี้ต้องไปเชื่อมพลังงาน ซึ่งบริษัทฯ มีนวัตกรรมนำเข้ามาปรับใช้ เกิดขึ้นได้จากการวางแผนด้วยเรียลไทม์ดาต้า ส่งเทคโนโลยีเข้ามาช่วย บริหารจัดการพลังงานต่างๆ ส่วนอาคารสำนักงานต่างๆ ก็ต้องพัฒนาบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยี เน้น Data และ Energy Management อาคารในอนาคตจะเปลี่ยนเป็นผู้ผลิตและผู้ใช้ในตัว และเชื่อมต่อกับ Smart Grid สามารถผลิตพลังงานและใช้เองได้
พงศกร ยุทธโกวิท รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า มุมมองต่อการพัฒนา เมืองสีเขียว ต้องสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ โดยการไฟฟ้าฯ มีเป้าหมายผลักดัน Net Zero Carbon Neutrality ซึ่งได้มีการปรับเป้าหมายให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050 อย่างไรก็ดีส่วนสำคัญที่การไฟฟ้าฯ ส่งเสริมไปสู่เป้าหมายดังกล่าว และได้เริ่มดำเนินการแล้วคือ ส่งเสริมการใช้โซลาร์รูฟท็อป โดยการเชื่อมต่อทำได้ง่ายขึ้นตามหลักเกณฑ์ และสนับสนุนการใช้ EV หรือยานยนต์ไฟฟ้าโดยเปิดโอกาสให้เชื่อมต่อชาร์จเจอร์ได้ง่ายขึ้น เกิดการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาเมืองสีเขียว และสมาร์ตซิตี้ ข้อมูลถือเป็นส่วนสำคัญ ในการบริหารจัดการ เช่น การวิเคราะห์ว่าส่วนใดใช้พลังงานเกินหรือน้อยเกินไป และเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการ พลังงานหมุนเวียน เช่น กรณีพลังงาน แสงอาทิตย์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ การนำข้อมูลมาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ คาดการณ์ปริมาณ และวางแผนกักเก็บพลังงานสำรองไว้ใช้ยามขาดแคลน ทั้งนี้ สิ่งที่การไฟฟ้าฯ ได้ดำเนินการแล้ว เพื่อสนับสนุนไปสู่เป้าหมายการจัดการ พลังงานสะอาด เป็นต้นแบบการใช้พลังงานสะอาดที่จะต้องเอามาพัฒนาในประเทศ อาทิ โครงการ Smart Meter เป็นโครงการนำร่องในพัทยา เพื่อเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานของผู้ใช้ไฟ และนำมาใช้ในการบริหารจัดการระบบร่วมกับการบริหารนำเอาพลังงานทดแทน และ EV Charger มาให้มากขึ้น







