4 โรงไฟฟ้าในกลุ่มบริษัท GULF ผ่านการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP)

4 โรงไฟฟ้าในกลุ่มบริษัท GULF ผ่านการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) ตอกย้ำเป้าหมายการขับเคลื่อนองค์กรสู่ Net Zero ปี 2593
4 โรงไฟฟ้าในกลุ่ม GULF รับเครื่องหมาย CFP นางสาวณัชชารีย์ พงษ์รัตน์ธนาเดช ผู้อำนวยการด้านการบริหารฝ่ายบริหารสินทรัพย์ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ "GULF" เป็นตัวแทน 4 โรงไฟฟ้า รับมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product – CFP) จาก นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ในพิธีมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ TIJ
ทั้งนี้ 4 โรงไฟฟ้าในกลุ่ม บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประกอบด้วย
- โรงไฟฟ้าตลิ่งชัน บริษัท กัลฟ์ เจพี ทีแอลซี จำกัด
- โรงไฟฟ้าหนองแค 2 บริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นเค2 จำกัด
- โรงไฟฟ้าหนองละลอก บริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นแอลแอล จำกัด
- โรงไฟฟ้านครเนื่องเขต บริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นเอ็นเค จำกัด
ผ่านการรับรอง "เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product – CFP)" ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ GULF ในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals – SDGs) และการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG - Environmental, Social, Governance ที่ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล พร้อมเดินหน้าลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการกำหนดแนวทางการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
GULF ตั้งเป้าหมายที่จะลดปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และรักษานโยบายไม่ลงทุนในธุรกิจถ่านหิน (No Coal Policy) ทั้งยังให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ด้วยการเพิ่มสัดส่วน พลังงานหมุนเวียน ให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี 2578 พร้อมกับบูรณาการประเด็นด้าน ESG ตลอดห่วงโซ่คุณค่าร่วมกับคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ
สำหรับเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product - CFP) เป็นการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยคำนวณออกมาในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ใช้หลักการประเมินผลกระทบตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การใช้งาน และการกำจัดซากผลิตภัณฑ์หลังการใช้งาน โดยเครื่องหมายนี้ช่วยให้ผู้บริโภคใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย







