Power to Live เครือข่ายป้องกันฆ่าตัวตาย หนุน AI การแพทย์จิตเวช

"โกมล เจียรวนนท์" ดันสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย ผนึก กรมสุขภาพจิต สมาคมจิตแพทย์ฯ กรุงเทพมหานคร สมาคมสะมาริตันส์ฯ โชว์แนวคิด AI คัดกรองการแพทย์ด้านจิตเวช
"โกมล เจียรวนนท์" ประธานที่ปรึกษาประธานคณะผู้บริหาร สำนักประธานคณะผู้บริหาร และเลขาธิการสมาคมการป้องกันการฆ่าตัวตายไทย จัดงาน Power to Live เนื่องในวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก 2568 เมื่อที่ 5 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์
ทั้งนี้ บริษัท เจียไต๋ จำกัด และสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทยเชิญชวนคนไทย เสริมสร้างพลังใจ ความหวัง ให้เกิดความสุข และเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย องค์การอนามัยโลกระบุว่า 1 ชีวิตที่จากไป ส่งผลกระทบอย่างน้อยต่อ 6 คนข้างหลัง พ่อแม่พี่น้องคู่ครอง ญาติ คนใกล้ชิด เสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย
ตามที่ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย กรมสุขภาพจิต สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย เครือข่ายรณรงค์ป้องกันการฆ่าตัวตาย และนักศึกษาหลักสูตรTENX4 จัดงาน Power to Live เนื่องในวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก 2568 World Suicide Prevention Day 2025
สำหรับภายในงานมีกิจกรรมเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การฆ่าตัวตาย Power to Live เสวนา "AI ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นอย่างไร " เสวนา "เสริมพลังใจจากประสบการณ์ " เสวนาเรื่อง “คุยเติมใจ” เสวนาเรื่อง “First Jobber อยากสื่อสารอะไร” และเสวนา"ความสุขในรั้วมหาวิทยาลัย "
รวมถึงการแสดงดนตรีเพื่อผ่อนคลายจากเหล่าศิลปิน อาทิ DOM และ วง JMNK จากค่าย XOXO Entertainment Work Point และวง Y2Z จากค่าย A BEAR DAY Entertainment และการแสดงดนตรีเพิ่มพลังชีวิต จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
พญ.ภาวิณี รุ่งทนต์กิจ ผู้อำนวยการสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การจัดกิจกรรมป้องกันการฆ่าตัวตาย มุ่งหวังสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าในการใช้ชีวิตของตนเองให้มากขึ้น โดยแผนการดำเนินงานของกรุงเทพมหานคร ในมิติด้านสุขภาพดี ปี 2568 มุ่งส่งเสริมสุขภาพประชาชนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
รวมทั้งขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพดี 2 BKK Health Zone เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลประชาชนเชิงรุก ครอบคลุมทุกพื้นที่มีการจัดตั้งศูนย์สอบถามปัญหาสุขภาพ (Urban Medicine Service Center : UMSC) โครงการส่งเสริมสุขภาพคนเมือง ให้บริการเชิงรุกด้วยเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับการให้บริการด้านสุขภาพ พร้อมย้ำว่าการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า เข้มแข็ง อดทน และพยายามส่องหาทางออกที่สร้างสรรค์มีส่วนป้องกันการฆ่าตัวตาย
นพ.จุมภฎ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้ข้อมูลว่า จากรายงานจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข สถิติในปี 2567 พบผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจำนวน 5,126 ราย คิดเป็น 7.89 รายต่อแสนประชากร โดยกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตมากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ 20-59 ปี จำนวน 3,635 ราย รองลงมาอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 1,345 ราย อายุ 15 -19 ปี จำนวน 122 ราย และ อายุ 5-14 ปี จำนวน 24 ราย
อัตราพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ 49.42 ต่อแสนประชากร ในทุกๆ 1 ชั่วโมง มีผู้พยายามฆ่าตัวตาย 4 คน โดยกลุ่มวัยเรียน/วัยรุ่น ช่วงอายุ 15-19 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการพยายามฆ่าตัวตายสูงกว่ากลุ่มอื่นๆอยู่ที่ 136.4 ต่อแสนประชากร
สำหรับกรมสุขภาพจิตมีนโยบายและหน่วยงานในการป้องกันการฆ่าตัวตายทั่วประเทศ ทีมปฏิบัติการพิเศษป้องกันการฆ่าตัวตาย หรือ Hope Task Force ที่เป็นความร่วมมือของภาคสาธารณสุข ทีมตำรวจ และ Social Influencer รวมถึงสื่อมวลชน มีสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง
ดร.พญ.สุธี สฤษฎิ์ศิริ ผู้อำนวยการกองสร้างเสริมสุขภาพ กรุงเทพมหานคร ให้ข้อมูลว่าจากการศึกษาของกรุงเทพมหานคร พบว่ากลุ่มคนที่มีความเครียดมากในกรุงเทพฯ อยู่ในวัย 18-25 ปี เป็นกลุ่มนิสิตนักศึกษาและกลุ่มวัยเริ่มทำงาน ซึ่งกรุงเทพมหานครมีหน่วยงานที่คอยช่วยเหลือชาวกรุงเทพฯทุกเพศทุกวัย
ผศ.(พิเศษ) นพ.ปราการ ถมยางกูร นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย กล่าวว่า สมาคมซึ่งเป็นสมาชิกของ International Association for Suicide Prevention ได้จัดงานวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกในช่วงเวลาเดียวกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 60 ประเทศ โดยการฆ่าตัวตายและการพยายามฆ่าตัวตายมีหลายสาเหตุ คือ
- ปัจจัยทางด้านชีวภาพสารสื่อสมองที่ผิดปกติ
- ปัจจัยจิตวิทยา
- ปัจจัยสังคม
- ปัจจัยความสัมพันธ์
- ปัจจัยเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ผลกระทบจากการฆ่าตัวตายจะเกิดเป็นลูกโซ่มีผลกระทบต่อ 6 คนรอบข้าง คนในครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายหรือแม้แต่เพื่อนสนิท เกิดความรู้สึกผิดในจิตใจโทษตัวเอง เกิดภาวะซึมเศร้า ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เกิดstigma หรือฆ่าตัวตายตาม
ดังนั้นในการช่วยเหลือไม่ใช่เฉพาะคนที่กำลังเผชิญวิกฤตจิตใจและพยายามฆ่าตัวตาย แต่ต้องช่วยเหลือทั้งครอบครัวและคนใกล้ชิดของผู้ฆ่าตัวตาย ปัจจุบันมีการทำกลุ่มจิตบำบัด PRAKARN Model
สำหรับผู้มีคนใกล้ชิดเสีขชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งสามารถช่วยให้คนเหล่านั้นลด stigma กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ทางสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทยมีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือป้องกันการฆ่าตัวตายโดยจับมือร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนตลอดจนเเครือข่ายรณรงค์ป้องกันการฆ่าตัวตาย
รศ.ดร.พญ.โสฬพัทธ์ เหมรัญช์โรจน์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันจำนวนผู้ที่มีปัญหาสุขภาพใจเพิ่มมากขึ้น จากปัญหาทั้งความสัมพันธ์และเศรษฐกิจ ประกอบกับสัดส่วนของจิตแพทย์ไม่เพียงพอมีเพียง 1.2 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน
ประกอบกับอัตราการรอคอยเพื่อได้พบจิตแพทย์ ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน จึงเกิดแนวคิดใช้ AI เข้ามาคัดกรองผู้ป่วย โดย AIMET ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช (Center of Excellence in Digital and AI for Mental Health) สังกัดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดค้นและเกิดนวัตกรรม DMIND แอปพลิเคชันคัดกรองภาวะซึมเศร้าด้วย AI “เพื่อนที่พร้อมรับฟังทุกความรู้สึกของคุณ”
รวมทั้งใช้ประเมินผลผ่านการตรวจจับข้อความของผู้ใช้งานที่สามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างอิสระตลอด 24 ชั่วโมง ให้ความแม่นยำ 85% และสามารถใช้งานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันนวัตกรรมนี้มีการใช้ได้จริง กว่า 500,000 ครั้งแล้วผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม และปัจจุบัน ระบบ DMIND ถูกนำไปใช้งานใน 1323 สายด่วนกรมสุขภาพจิตด้วย
“นวัตกรรมนี้ถูกออกแบบโดยจิตแพทย์ ดังนั้นคำถามจึงเสมือนจิตแพทย์ถามและจับสังเกตในข้อความสำคัญที่กระทบกับความรู้สึก เช่น วันนี้ที่เศร้ารู้สึกอย่างไร อะไรที่เป็นสาเหตุให้ไม่สามารถทำงานได้ รวมถึงสามารถเก็บสีหน้าของผู้สอบถามได้ด้วย พบว่าบางคนร้องไห้กับไอแพดก็มี ในกรณีที่มีแนวโน้มอันตรายหรือเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายจะมีการส่งข้อมูลที่เชื่อมโยงกับหมอพร้อมเพื่อให้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปติดตามผู้ป่วยได้ทันที” รศ.ดร.พญ.โสฬพัทธ์ กล่าว







