ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ ศึกภาษีสหรัฐ - BRICS เขย่าเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก หนุนทองคำกลับมาโดดเด่น

โลกกำลังเปลี่ยนขั้ว : BRICS รวมพลังท้าชนดอลลาร์ สหรัฐตอบโต้ด้วยเกมภาษีทองคำกลายเป็นหมากสำคัญ
ฮั่วเซ่งเฮง วิเคราะห์สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศล่าสุด พบว่า ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศ BRICS เตรียมปะทุขึ้นอีกครั้ง จากการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เดินหน้ามาตรการ "ภาษีศุลกากรตอบโต้" (Reciprocal Tariffs) ต่อประเทศสมาชิก BRICS แม้จะมีการ "เลื่อน" การใช้ภาษีบางส่วนออกไป 90 วัน แต่ยังนับเป็นสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐเตรียมเดินเกมเชิงรุกในการควบคุมบทบาทดอลลาร์ในเวทีโลก
ขณะที่ฝั่ง BRICS กำลังมีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ นั่นคือการประชุม 17th BRICS Summit ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 กรกฎาคม 2568 ที่ รีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ในชื่อว่า "The Rio Reset" ซึ่งเป้าหมายของกลุ่ม BRICS คือการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ และเพิ่มบทบาทในเวทีโลก
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในครึ่งหลังของปี 2568 นี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ "เขย่าระบบเศรษฐกิจโลก" หลังจากที่ใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นศูนย์กลางมานานหลายทศวรรษ
ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS และสถานะภาษีศุลกากรตอบโต้จากสหรัฐ
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศสมาชิก BRICS โดยตั้งกำแพงภาษีตั้งแต่ 10% จนถึง 45% เช่น ไทย (37%) อินเดีย (26%) อินโดนีเซีย (32%) และจีน (145%) อย่างไรก็ตาม แทนที่จะใช้ทันที ทรัมป์กลับเลือกที่จะเลื่อนการเก็บภาษีออกไป 90 วัน (ครบกำหนดในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568) ยกเว้นจีนที่เลื่อนไปถึงกลางเดือนสิงหาคม 2568
ฮั่วเซ่งเฮง วิเคราะห์ว่า นี่คือ "การหยั่งเชิง" ก่อนการประชุมสุดยอด BRICS ของทรัมป์ เพื่อดูว่าประเทศใดที่จะยอมเจรจา หรือรวมตัวกันเพื่อต่อต้านอิทธิพลของสหรัฐ
BRICS เดินเกม "ลดบทบาทดอลลาร์" ตั้งระบบการเงินใหม่
จากที่กล่าวมาข้างต้นว่าเป้าหมายของกลุ่ม BRICS คือ การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศ หรือ De-dollarization โดยหลายประเทศในกลุ่ม BRICS เริ่มชำระค่าสินค้าด้วยสกุลเงินท้องถิ่น เช่น หยวน รูปี รูเบิล มากขึ้น รวมถึงการหารือเรื่องการสร้างสกุลเงินกลางระหว่างประเทศสมาชิก
การประชุม BRICS Summit ครั้งที่ 17 นี้ มีวาระการประชุมครอบคลุม 6 ประเด็นหลัก ได้แก่
- ความร่วมมือด้านสุขภาพระดับโลก
- การค้า การลงทุน และการเงิน
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ธรรมาภิบาลด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- โครงสร้างสันติภาพและความมั่นคงพหุภาคี
- การพัฒนาสถาบันของกลุ่ม BRICS
การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ BRICS ในการปรับยุทธศาสตร์ทางการค้าและขยายบทบาทในเวทีโลกท่ามกลางการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ และเป็นหมากสำคัญที่อาจมีผลต่อท่าทีของทรัมป์ในการคงหรือยกเลิกมาตรการภาษี ตอกย้ำทิศทางความสัมพันธ์โลกตะวันตก–ตะวันออกในระยะต่อไป
ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินว่า สิ่งที่ต้องจับตาต่อจากนี้ก็คือ เกมกดดัน-เจรจา ซึ่งทั้งสองฝ่ายกำลังใช้ เศรษฐกิจโลก เป็นอาวุธ โดยทรัมป์ใช้ภาษีเป็นเครื่องกดดัน เพื่อให้แต่ละประเทศกลับมาเจรจาแบบทวิภาคี (แยกกัน) แทนที่จะเป็นการเจรจาแบบรวมกลุ่ม ขณะที่ BRICS พยายามรวมพลังผ่านการประชุม เพื่อจัดตั้งกลไกการเงินใหม่ และย้ำว่าโลกควรมีความสมดุลของอำนาจไม่ใช่ผูกกับสหรัฐฝ่ายเดียว
ทั้งนี้ แม้บางประเทศอย่างอินเดียจะเสนอ "ข้อตกลงปลอดภาษี" กับสหรัฐ เพื่อรักษาสัมพันธ์ทางการค้า แต่สหรัฐยังไม่ตอบรับขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้เดินสายปิดดีลทางเศรษฐกิจกับประเทศในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุฯ ยูเออี กาตาร์ ซึ่งอยู่ในกลุ่ม BRICS สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ในการดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามให้กลับมาเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและแน่นแฟ้นกับสหรัฐอีกครั้ง
ทองคำ รับบท "ตัวชี้วัดความไม่แน่นอน"
ฮั่วเซ่งเฮง มองว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ทองคำมีแนวโน้มกลับมาโดดเด่นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในครึ่งหลังของปี 2568 โดยมีปัจจัยหลัก ดังนี้
- หาก BRICS ประกาศนโยบายลดบทบาทดอลลาร์อย่างชัดเจน และสหรัฐตอบโต้ด้วยภาษีหรือมาตรการรุนแรง ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยง
- นักลงทุนทั่วโลกอาจเพิ่มน้ำหนักการถือครองทองคำ เพื่อลดความเสี่ยงจาก ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
- ในทางกลับกัน หาก BRICS ยังไม่สามารถตกลงร่วมกันหรือไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ราคาทองคำอาจพักฐานในระยะสั้น แต่ภาพรวมยังได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำงบประมาณปี 2569 ให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้
"ขณะนี้ตลาดโลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในเชิงโครงสร้าง ระบบการเงินระหว่างประเทศอาจเปลี่ยนทิศอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว ฮั่วเซ่งเฮงแนะนำให้ติดตามผลการประชุม BRICS อย่างใกล้ชิด โดยใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยง และอาจเพิ่มสัดส่วนทองคำในพอร์ต เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง" ฮั่วเซ่งเฮง ระบุในตอนท้าย







