4 เทรนด์ AI มาแรงปี 2025 ยกระดับบริการภาครัฐ ลดขั้นตอน ลดเวลา

4 เทรนด์ AI มาแรงปี 2025 ยกระดับบริการภาครัฐ ลดขั้นตอน ลดเวลา

4 เทรนด์ AI ปัญญาประดิษฐ์ มาแรงในปี 2025 ยกระดับบริการภาครัฐ ลดขั้นตอน ลดเวลา ประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น

ปี 2025 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภาครัฐไทยสำหรับการใช้ เทคโนโลยี AI ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้ชี้แนวทางการพัฒนาภาครัฐด้วยนวัตกรรม AI เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม [1] ขณะที่งานวิจัยจาก IDC พบว่า 50% ของหน่วยงานรัฐระดับโลกมีความพร้อมด้าน AI ในระดับสูง [2] นี่คือ 4 Solutions ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการบริการภาครัฐไทย

1. AI Chatbot เพื่อบริการประชาชน 24 ชั่วโมง

AI Chatbot หนึ่งในแนวทางช่วยลดภาระงานเจ้าหน้าที่และเพิ่มความพึงพอใจของประชาชน ที่สำคัญยังช่วยให้รัฐบริการประชาชนได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ด้วยการลดความซับซ้อนของกระบวนการตอบคำถามและคำร้องทั่วไป ช่วยลดภาระงานเจ้าหน้าที่และเพิ่มความรวดเร็วการให้ข้อมูล ตอบโจทย์ประชาชนในยุคดิจิทัลที่ต้องการความสะดวกและเข้าถึงบริการได้ทุกที่ทุกเวลา

กรณีศึกษาที่น่าสนใจ 

  • ประเทศไทย กรมพัฒนาที่ดิน ใช้ AI Chatbot "น้องดินดี" ผู้ช่วยเกษตรกร 24 ชม. ช่วยตอบคำถามเชิงเทคนิคได้ 95% ของคำถามทั้งหมด เพิ่มผลผลิตเกษตรกร 15-30% จากคำแนะนำปรับปรุงดิน รวมถึงลดการใช้ปุ๋ยเคมี 40% [3]
  • สิงคโปร์ พัฒนา IRAS Bot สำหรับบริการภาษี ซึ่งลดเวลาตอบคำถามจาก 30 นาทีเหลือ 2 นาที ด้วยความแม่นยำ 92% พร้อมบริการตลอด 24 ชั่วโมง [4]
  • เอสโตเนีย สร้างแพลตฟอร์ม Bürokratt เป็นศูนย์กลางบริการรัฐบาลดิจิทัลแห่งแรกของโลก ที่เชื่อมต่อทุกหน่วยงานผ่านแชตบอตเดียว พร้อมรองรับการสื่อสารผ่านเสียงและข้อความ [5]
  • อินเดีย ใช้แชตบอตบนแอป UMANG วิเคราะห์เจตนาผู้ใช้เป็นภาษาท้องถิ่นได้ 22 ภาษา เพิ่มอัตราการใช้บริการรัฐบาลดิจิทัลได้ 40% ภายใน 6 เดือน [6]

2. ระบบ OCR และ Speech-to-Text การแปลงเอกสารและถอดความเสียง

เทคโนโลยีแปลงเอกสารเป็นข้อความ Optical Character Recognition (OCR) และแปลงเสียงเป็นข้อความ Automatic Speech Recognition (ASR) กำลังปฏิวัติการทำงานภาครัฐ โดยทั้งสองระบบนี้ช่วยแปลงเอกสารกระดาษเป็นข้อมูลดิจิทัล และถอดความเสียงจากการประชุมอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดเวลาการประมวลผลเอกสารจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง พร้อมเพิ่มความแม่นยำการจัดเก็บข้อมูล

กรณีศึกษาที่น่าสนใจ

  • กระทรวงการคลังสหรัฐ ใช้ OCR อ่านเอกสารภาษีกว่า 2 ล้านฉบับ/ปี ลดเวลาประมวลผลจาก 15 วันเหลือ 3 วัน พร้อมตรวจจับข้อผิดพลาดในฟอร์มได้ทันที [7]
  • กรมขนส่งอังกฤษ ใช้ OCR อ่านข้อมูลใบขับขี่อัตโนมัติ ลดขั้นตอนการยื่นเอกสาร จาก 7 ขั้นตอนเหลือเพียง 2 ขั้นตอน [8]
  • สิงคโปร์ นำ Speech-to-Text มาใช้ในศูนย์บริการโทรศัพท์ภาครัฐ ลดเวลาประมวลผลคำขอจากประชาชนได้ 35% ด้วยการถอดเสียงพูดเป็นข้อความพร้อมวิเคราะห์เจตนาได้ทันที [9]
  • กระทรวงยุติธรรม แคนาดา ใช้ Speech-to-Text บันทึกคำให้การในศาลแบบเรียลไทม์ สร้างเอกสารคดีได้ภายใน 5 นาที แทนการรอพิมพ์มือ 2 ชั่วโมง [9]

WordSense by Looloo Technology ให้บริการออกแบบและพัฒนา end-to-end โซลูชัน ด้านการประมวลผลภาษาไทย ด้วย AI ด้วยสองบริการหลัก 1. ระบบแปลงเอกสารเป็นข้อความ (OCR) ครอบคลุมทั้งตัวพิมพ์และลายมือจากไฟล์เอกสาร และ 2. ระบบแปลงเสียงพูดเป็นข้อความอัตโนมัติ (Speech-to-Text) ที่มาพร้อม AI ตรวจสอบความถูกต้อง QA/QC รวมถึงระบบแนะนำ Script Recommend โดดเด่นด้วยความเชี่ยวชาญด้านการประมวลผลภาษาไทยที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำสูงกว่า 90% ขึ้นไปทั้งสองระบบ ซึ่งเป็นอันดับต้นๆ ในไทย (ตัวโมเดลของเรายิ่งใช้ ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งเพิ่มความแม่นยำ)

ปลดล็อกศักยภาพการทำงานภาครัฐ  ด้วย AI ภาษาไทย จาก WordSense by Looloo Technology ที่ครอบคลุมการการอ่านและฟังเสียงด้วยความแม่นยำ ลดขั้นตอน ลดเวลาจัดการไฟล์เสียงและงานเอกสาร ให้ทุกขั้นตอนจบได้ภายในไม่กี่นาที ตลอด 24 ชั่วโมง

4 เทรนด์ AI มาแรงปี 2025 ยกระดับบริการภาครัฐ ลดขั้นตอน ลดเวลา

ฟรี! ทดลองใช้ Demo AI OCR และ Speech-to-Text ไม่เก็บข้อมูล ไม่จำกัดขนาดข้อมูล OCR Speech-to-Text 

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ที่พร้อมออกแบบ Solutions เฉพาะคุณ
ได้ที่ 020287557 - พูดคุยฟรี 3 ชั่วโมง เว็บไซต์ OCR เว็บไซต์ ASR

3. AI Analytics เพื่อการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจากหน่วยงานรัฐได้ภายในไม่กี่วินาที ช่วยให้กระบวนการตัดสินใจที่เคยใช้เวลาเป็นสัปดาห์ กลายเป็นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ตัวอย่างการประยุกต์ใช้รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลการจราจร ข้อมูลสุขภาพประชาชน และการใช้งบประมาณ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากรของรัฐ

กรณีศึกษาที่น่าสนใจ

  • กรมสรรพากรของไทย ให้ AI สุ่มตรวจภาษีเพิ่มรายได้ภาษีจาก Digital Footprint ปี เช่นการให้ Web Scraping วิเคราะห์รายได้ 50,000 เพจเฟซบุ๊ก/เดือน ทำให้ปี 2566 ลดเวลาตรวจสอบเอกสารจาก 2 สัปดาห์ → 2 วัน [10]
  • กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจราจรจากกล้อง CCTV 3,000 จุด คาดการณ์ปัญหาการจราจรล่วงหน้า 30 นาที ช่วยลดเวลาเดินทางเฉลี่ยของประชาชนได้ 18% [11]
  • กระทรวงสาธารณสุข บราซิล ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วย 10 ล้านคน เพื่อจัดสรรเตียง ICU ได้แม่นยำขึ้น 40% ในช่วงวิกฤติโควิด [11]

4. AI สำหรับคาดการณ์และป้องกันภัยพิบัติ

AI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยภาครัฐวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากเซ็นเซอร์และแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อคาดการณ์ภัยพิบัติได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการเตรียมความพร้อมและตอบสนองเหตุฉุกเฉิน ลดความเสี่ยงและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

กรณีศึกษาที่น่าสนใจ

  • เมืองไมอามี่ของสหรัฐ ใช้ AI วิเคราะห์ภาพดาวเทียมคาดการณ์พื้นที่น้ำท่วมล่วงหน้า 48 ชั่วโมง ช่วยอพยพประชาชนได้ทันเวลา 97% ของกรณีฉุกเฉิน [10]
  • กรมอุตุฯ ญี่ปุ่น ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลแผ่นดินไหวจากเซ็นเซอร์ 1,000 จุดทั่วประเทศ พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า 30 วินาที ช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจได้ปีละ 1.2 หมื่นล้านเยน [10]

ลงทุนกับ AI วันนี้ คือการวางรากฐานสำคัญของภาครัฐที่ทันสมัย
การนำ AI มาใช้ในภาครัฐ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี แต่เป็นการปฏิวัติรูปแบบการให้บริการที่ตอบโจทย์ประชาชนอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด AI คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อน ลดเวลารอคอย และเพิ่มความสะดวกสบายเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างแท้จริง

จากกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จชัดเจน แสดงให้เห็นว่า AI สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพียง 6-12 เดือน หน่วยงานรัฐนำโซลูชัน AI ที่พร้อมใช้งานมาปรับใช้กับบริบทของตนเองได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนใหญ่หรือเปลี่ยนแปลงระบบงานทั้งหมด สุดท้ายแล้วประชาชนจะได้รับประสบการณ์บริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และเข้าถึงง่ายขึ้น ในขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐก็ได้ความเชื่อมั่นและความพึงพอใจจากประชาชนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

AI ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่น่าหวาดกลัว แต่เป็นโอกาสที่ช่วยให้ภาครัฐ “ทำงานน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น” เพื่อประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง