'MTW' หุ้นจักรยานยนต์ EV ดันกำไรปี 66 ทะยานกว่า 195%

'MTW' หุ้นจักรยานยนต์ EV ดันกำไรปี 66 ทะยานกว่า 195%

บมจ. เมคทูวิน โฮลดิ้ง หรือ MTW ประกาศผลงานปี 66 กำไรทะยานอยู่ที่ 65.3 ล้านบาท พุ่งกว่า 195% รายได้อยู่ที่ 527 ล้านบาท รับโรงงานใหม่กดปุ่มสตาร์ทกำลังการผลิต หนุนแผนผลิตและส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ EV พุ่งขึ้นรับดีมานด์ผู้บริโภค

นายกฤตเมธ ตั้งพิชญโพธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมคทูวิน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTW เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานประจำปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 65.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.2 ล้านบาท หรือเติบโต 195.48% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 22.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิเท่ากับ 12.39% และ 8.85% ตามลำดับ สำหรับรายได้จากการขายของกลุ่มบริษัท อยู่ที่ 527.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 277.38 ล้านบาท หรือ 111% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการมุ่งเน้นธุรกิจรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่ 471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 313 ล้านบาท หรือ 199% อีกทั้งเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่เข้ามาสนับสนุนอัตรากำไรของกลุ่มบริษัทได้อย่างแข็งแกร่ง รับกระแสความนิยม รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่เพิ่มขึ้น และโครงการภาครัฐสนับสนุนจากการผลักดันประเทศไทยกำลังพัฒนาเป็นศูนย์กลาง EV Hub ระดับภูมิภาค ด้านที่ประชุมบอร์ดมีมติไฟเขียวแจกฟรีวอร์แรนต์ 2:1 ให้ผู้ถือหุ้นเดิม อายุ 1 ปี ย้ำสภาพคล่องแกร่งและมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ภาพรวมการดำเนินธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า บริหารงานภายใต้บริษัทย่อยคือ บริษัท เดโก้ กรีน เอนเนอร์จี จำกัด (DECO) เป็นธุรกิจที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมนโยบายส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ โดยสิทธิประโยชน์ที่กลุ่มบริษัทได้รับคือ เงินอุดหนุนจำนวน 18,000 บาทต่อคัน กระตุ้นกำลังซื้อให้ผู้บริโภคซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง จัดจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า DECO ซึ่งบริษัทฯ มีการจำหน่ายหลักผ่านตัวแทนจำหน่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ขึ้นทะเบียน 20 รุ่น และได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐจำนวน 9 รุ่น มีช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทน และสาขามากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นทั้งศูนย์จำหน่าย และศูนย์บริการหลังการขาย 

ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในปี 2566 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 56 ล้านบาท ปรับตัวลดลงราว 39% เนื่องจากผลกระทบการส่งสินค้าในกลุ่มลูกค้าหลัก เช่น พม่า ในช่วงปลายปีด่านปิด ทำให้ชะลอการจัดส่งสินค้าในช่วงดังกล่าว และค่าเงินบาทส่งผลให้ลูกค้าแอฟริกาซึ่งปกติจะเดินทางมาสั่งสินค้าในไทยหดตัวลง ทั้งนี้ MTW จัดจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าซึ่งจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ ได้แก่ Anoko, Noble, Over Bick'C และ S Sport รวมไปถึงตราสินค้าอื่นๆ เช่น Super Kool ลักษณะการจำหน่ายสินค้าของบริษัทแบ่งเป็นการขายปลีก และขายส่ง โดยการขายในราคาปลีกจะเป็นการขายผ่านช่องทางหน้าร้านสาขาทั้ง 2 สาขาของบริษัทฯ เท่านั้น ส่วนการขายส่งสามารถขายได้ทั้งผ่านหน้าร้านสาขาและโรงงาน ซึ่งปัจจุบันหน้าร้านสาขาของบริษัทฯ มีทั้งหมด 2 สาขา ซึ่งอยู่ที่อาคาร โบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ เป็นทำเลที่ตั้งอยู่ในแหล่งที่เป็นแหล่งซื้อขายปลีก-ส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปหลักของประเทศไทย และเป็นแหล่งซื้อ-ขายของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ

ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 (MTW-W1) จำนวนไม่เกิน 337,000,000 หน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 2 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ ทั้งนี้หากมีเศษของใบสำคัญแสดงสิทธิเกิดขึ้นจากการคำนวณให้ปัดเศษดังกล่าวทิ้ง

สำหรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 (MTW-W1) มีกำหนดอายุ 1 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ และมีราคาใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ 1.00 บาท รวมทั้งอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 (MTW-W1) ดังกล่าว และยังไม่มีแผนเพิ่มทุนเพื่อลงทุนรอบใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ขยายโรงงานเพื่อรองรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในธุรกิจจักรยานยนต์เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2567 ในวันที่ 9 เมษายนนี้ เวลา 10.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting)

ส่วนแผนการลงทุนในธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ที่เปิดเผยไปก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้ทบทวนข้อตกลงในการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ร่วมกับพันธมิตร โดยยกเลิกแผนดังกล่าวออกไป ด้วยการพิจารณาถึงเงื่อนไขและประโยชน์ที่บริษัทฯ จะได้รับสูงสุด ขณะที่ "กฤตเมธ" พร้อมหุ้นส่วนจากต่างประเทศ กลับมาเดินหน้าทำโรงงานผลิตแบตเตอรี่เอง หลังจากที่ยกเลิกการร่วมทุนไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดประโยชน์กับเดโก้เต็มๆ

อย่างไรก็ดี ในปี 2567 กลุ่มบริษัทได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือ BOI ระยะเวลา 3 ปี และเพิ่มสูงสุดที่ 5 ปี หากมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ รวมทั้งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วน ซึ่งกลุ่มบริษัทได้ 5 ชิ้นส่วน จากทั้งหมด 9 ชิ้นส่วน ทำให้ในปี 2567 ภาพรวมการเติบโตของ MTW จะแข็งแกร่งต่อเนื่องและเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ควบคู่การควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ในปี 2566 เป็นอีกก้าวความสำเร็จของ MTW หลังย้ายเข้าไปโรงงานใหม่ในช่วงเดือนกันยายนปี 2566 ทำให้สามารถรองรับกำลังการผลิต รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ได้ถึง 200,000 คันต่อปี อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีก่อน ยังอยู่ในช่วงของการย้ายโรงงานใหม่ และอบรมพนักงาน จึงทำให้การผลิตและส่งมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ยังทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ได้เห็นความชัดเจนในปีนี้ที่ดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งการได้สิทธิประโยชน์การส่งเสริมจากรัฐบาลในการยกเว้นภาษีชิ้นส่วน 5 ชนิด ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และนำส่งไปรับรองที่สถาบันยานยนต์ จะสนับสนุนต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และอยู่ระหว่างการขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ในช่วงระยะเวลา 4 ปี (พ.ศ. 2567 - 2570) ของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV)" นายกฤตเมธ กล่าวทิ้งท้าย