สอวช. ปลดล็อกข้อจำกัดกฎหมาย กระตุ้นเพิ่มการลงทุน R&D สู่เป้าหมาย 2% ในปี 2570

สอวช. ปลดล็อกข้อจำกัดกฎหมาย กระตุ้นเพิ่มการลงทุน R&D สู่เป้าหมาย 2% ในปี 2570

สอวช. ยกมาตรการภาครัฐ สร้างระบบนิเวศ ปลดล็อกข้อจำกัดกฎหมาย เอื้อสถาบันวิจัย - มหาวิทยาลัย เชื่อมเอกชน กระตุ้นเพิ่มการลงทุน R&D สู่เป้าหมาย 2% ในปี 2570

ตามที่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้เปิดเผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2564 (รอบสำรวจปี 2565) ซึ่งเป็นช่วงที่ทั่วโลกยังคงเผชิญกับวิกฤตสถานการณ์การระบาดของโควิด ส่งผลให้การสำรวจค่าใช้ด้านการวิจัยและพัฒนาเกิดการชะลอตัวลงเล็กน้อย พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GERD/GDP) ของไทย อยู่ที่ร้อยละ 1.21 (จากเดิม 1.33) โดยมีค่าใช้จ่าย R&D ในภาพรวมอยู่ที่ 195,570 ล้านบาท (จากเดิม 208,010 ล้านบาท) มีอัตราเติบโตลดลงร้อยละ 5.98 เป็นค่าใช้จ่าย R&D ในภาคเอกชน 144,887 ล้านบาท (จากเดิม 141,706 ล้านบาท) และภาคอื่น ๆ (รัฐบาล, อุดมศึกษา, รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) 50,683 ล้านบาท (จากเดิม 66,304 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนภาคเอกชนต่อภาคอื่นๆ อยู่ที่ร้อยละ 74 : 26 ซึ่งจะเห็นว่าการลงทุนด้าน R&D ในภาคเอกชนยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ดร.สิริพร พิทยโสภณ รองผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สอวช. กล่าวว่า ตัวเลข R&D ได้มีการนำไปใช้อ้างอิงทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น การจัดอันดับขีดความสามารถของ IMD รวมถึงการตั้งกรอบงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม การวางนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนของประเทศก็ใช้ตัวเลขดังกล่าว สำหรับผลสำรวจจะเห็นได้ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศต่างๆ ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี โดยภาคเอกชนมีสัดส่วนการลงทุน R&D สูงกว่าภาครัฐ เนื่องจากภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ ในขณะที่ภาครัฐก็มีหน้าที่อำนวยความสะดวก ปลดล็อกกฎหมายต่างๆ กระตุ้นให้การลงทุน R&D เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 2% ภายในปี 2570

สอวช. ปลดล็อกข้อจำกัดกฎหมาย กระตุ้นเพิ่มการลงทุน R&D สู่เป้าหมาย 2% ในปี 2570

ดร.สิริพร กล่าวถึงบทบาทภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้การลงทุน R&D เป็นไปตามเป้าหมายว่า ภาครัฐได้สร้างระบบนิเวศนวัตกรรมในมิติต่างๆ โดยการปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ อาทิ พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 เพื่อเชื่อมโยงให้งานวิจัยไปใช้ประโยชน์ โดยมอบความเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปยังผู้รับทุนโดยมีเงื่อนไขว่าต้องใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยนั้นภายใน 2 ปี หากไม่มีการดำเนินการใด สิทธิของงานวิจัยฯ จะเป็นของผู้ให้ทุน การสนับสนุนให้จัดตั้ง Holding company ในมหาวิทยาลัย อีกส่วนคือ การพัฒนากลไกตลาดนวัตกรรม เช่น บัญชีนวัตกรรม นอกจากนี้ยังมีเรื่องการพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม รวมถึงการสร้าง Innovation manager เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการนวัตกรรม ในการนำผลงานวิจัยไปพัฒนาต่อยอดและเข้าสู่ตลาด  

ดร.สิริพร กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเสนอร่างระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเฉพาะเรื่องของการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัยใช้เป็นแนวทางในการร่วมลงทุนทั้งในลักษณะของการร่วมทุนและการจัดตั้ง Holding Company นอกจากนี้ยังมีนโยบาย Offset ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ สอวช. เป็นการกำหนดเงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐให้ต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ให้กับผู้รับซึ่งจะเป็นภาคเอกชนหรือมหาวิทยาลัย ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นดำเนินการ โดยเป้าหมายสุดท้ายคือ อยากให้อุตสาหกรรมของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ ในขณะเดียวกันไทยมีจุดแข็งที่มีอุทยานวิทยาศาสตร์ สถาบันวิจัยโรงงานต้นแบบ กระจายอยู่ทั่วภูมิภาค และแต่ละจุดก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ต่างกัน สำหรับเรื่องการให้ทุนวิจัยและนวัตกรรม มีกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับงบประมาณอยู่ที่ 15,000 - 20,000 ล้านบาท โดยจะจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานให้ทุน 9 หน่วย ซึ่งได้มีการออกระเบียบให้สามารถให้ทุนกับภาคเอกชนได้ 

รอง ผอ.สอวช. กล่าวด้วยว่า สำหรับการพัฒนากำลังคน มีมาตรการ Thailand plus package ที่ให้สิทธิประโยชน์กับบริษัทสามารถนำเงินเดือนพนักงานที่มีทักษะสูงด้าน STEM มาหักภาษีได้อย่างน้อย 150% และให้สิทธิกับบริษัทที่เข้าอบรมหลักสูตรพัฒนาบุคลากรด้าน STEM สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการอบรมไปยกเว้นภาษีได้ 250% นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมข้อมูลบุคลากรที่มีความสามารถสูงของไทย ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพนวัตกรรมของเอกชน

"จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นว่า การที่เราสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมและกลไกในลักษณะนี้ คาดหวังว่าจะช่วยยกระดับศักยภาพด้านนวัตกรรมและกระตุ้นการลงทุน R&D ของเอกชน ซึ่งในปีถัดไปคงจะเห็นตัวเลขค่าใช้จ่าย R&D ของเอกชนเพิ่มสูงขึ้นอีก" ดร.สิริพร กล่าว