"เดสติเนชั่น กรุ๊ป" ปรับกลยุทธ์รับเทรนด์อนาคต ตั้งเป้าปี 66 ดันธุรกิจโฮสเทลไปทั่วโลก

"เดสติเนชั่น กรุ๊ป" ปรับกลยุทธ์รับเทรนด์อนาคต ตั้งเป้าปี 66 ดันธุรกิจโฮสเทลไปทั่วโลก

"เดสติเนชั่น กรุ๊ป" เผยทิศทางธุรกิจ ตอบรับเทรนด์อนาคต "Digital Nomad" ตั้งเป้าเป็นผู้นำ Global Hostel Brand ในปี 2566 ดันธุรกิจโฮสเทลไปไกลทั่วโลก

เดสติเนชั่น กรุ๊ป หรือ Destination Group บริษัทด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับเวิลด์คลาส ประกาศเดินหน้าปรับกลยุทธ์ตอบรับความเปลี่ยนแปลงของเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ รองรับไลฟ์สไตล์ในทุกเจเนอเรชัน พร้อมกางแผนขยายตัวของธุรกิจแบบทวีคูณ วางเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจด้านที่พักโฮสเทลที่ใหญ่ระดับโลก ตั้งเป้าขึ้นแท่นผู้นำ Global Hostel Brand ในปี 2566 และขยายการเติบโตของธุรกิจโรงแรมในเครือ ปัจจุบันมี 7 แห่ง ตั้งอยู่ในแหล่งธุรกิจและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ทั้งกรุงเทพฯ ภูเก็ต เกาะสมุย หัวหิน พัทยา เขาหลัก รวมถึงเชนร้านอาหารอีกกว่า 15 แบรนด์ในประเทศ และอีก 3 แบรนด์อินเตอร์ ให้ครอบคลุมทำเลศักยภาพที่กำลังมาแรงของไทย ต้อนรับการฟื้นตัวการท่องเที่ยว 

\"เดสติเนชั่น กรุ๊ป\" ปรับกลยุทธ์รับเทรนด์อนาคต ตั้งเป้าปี 66 ดันธุรกิจโฮสเทลไปทั่วโลก

มร.แกรี่ เมอร์เรย์ (Mr.Gary Murray) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง (CEO & Founder) เดสติเนชั่น กรุ๊ป (Destination Group) กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า จากวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด เป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ทำให้เราต้องมีมุมมองที่กว้างขึ้นแบบ 360 องศา ปรับจูนพฤติกรรมความต้องการของลูกค้า และศึกษาทิศทางตลาดในธุรกิจของแต่ละประเทศอยู่ตลอด นำประสบการณ์การบริหารกว่า 27 ปีมาพัฒนากลยุทธ์อย่างไม่หยุดนิ่ง เริ่มตั้งแต่การพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้ปฏิบัติงานข้ามแผนก เพื่อก่อเกิดประโยชน์สูงสุด และยังคงรักษาระดับการบริการได้ดีเช่นเดิม ต่อด้วยกลยุทธ์การรวมศูนย์ เพิ่มธุรกิจความบันเทิง โดยใช้สำนักงานใหญ่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการสถานที่ให้บริการทุกแห่งภายใต้กลุ่มบริษัท ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ที่พักโฮสเทล เพื่อการดำเนินงานอย่างเต็มประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรให้กับทุกกิจการ ในภาคส่วนธุรกิจบริษัทมีการปรับเปลี่ยนวิธีการบริหาร โดยการซื้อเพียงแค่แบรนด์ (Franchise) แล้วเข้ามาบริหารงานด้วยตัวเอง สามารถเข้าถึงการจัดการได้ทั้งภายในและภายนอก นอกจากนี้ยังสร้างแบรนด์ใหม่ๆ ภายใต้เครือบริษัทเองด้วยอย่าง Socialtel และโรงแรมบางแห่งที่กำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยน ปัจจุบันจึงใช้ชื่อบริษัท Destination Hotel เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์

มร.แกรี่ กล่าวต่อว่า หัวใจหลักในการดำเนินงานของ เดสติเนชั่น กรุ๊ป คือมุ่งเน้นการทำธุรกิจที่เป็นมากกว่าที่พัก พร้อมสร้างประสบการณ์พิเศษ (Fun Entertainment) ในทุกๆ รายละเอียด สอดรับการท่องเที่ยวยุคดิจิทัลเทรนด์ใหม่มาแรง กลุ่ม Digital Nomad ที่ทำงาน Online สไตล์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปใส่ใจสิ่งแวดล้อม คนเหล่านี้ให้เวลากับการท่องเที่ยวมากขึ้น และกล้าที่จะออกไปค้นพบสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ บริการของธุรกิจสามารถสร้างความประทับใจตอบโจทย์ รวมถึงไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มด้วยอัตลักษณ์ของโรงแรม และที่พักแบบโฮสเทลในเครือที่มีหลากหลายรูปแบบ โดยมีโครงสร้างการออกแบบของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ SLUMBER PARTY สำหรับกลุ่มลูกค้าสายปาร์ตี้ BODEGA HOSTELS สำหรับกลุ่มลูกค้า Digital Nomad และกลุ่มธุรกิจโรงแรมในเครือสำหรับลูกค้าที่มาพักผ่อนแบบครอบครัว โดยดึงความเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์ของ Siam Adventure Club เข้ามาเสริมการทำกิจกรรม สร้างความบันเทิงสันทนาการต่างๆ ให้สนุกยิ่งขึ้น ด้วยคุณภาพมาตรฐานกับตำแหน่งทำเลที่ตั้งใจกลางสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 

\"เดสติเนชั่น กรุ๊ป\" ปรับกลยุทธ์รับเทรนด์อนาคต ตั้งเป้าปี 66 ดันธุรกิจโฮสเทลไปทั่วโลก

"ความท้าทายในภาคส่วนธุรกิจร้านอาหารกับการฝ่าฟันอุปสรรคและวิกฤติโควิด ช่วงเวลาที่โรงแรมและร้านอาหารไม่สามารถให้บริการได้ เดสติเนชั่น กรุ๊ป เดินหน้าเต็มกำลังเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ให้ตรงใจพฤติกรรมการสั่งอาหารผ่านออนไลน์ ด้วยแนวคิดการทำ Ghost Kitchen ขึ้นมาแบบปราศจากหน้าร้าน ให้บริการอาหารแบบออนไลน์จาก 15 แบรนด์ร้านอาหารในเครือ โดยการเลือกใช้พื้นที่ครัวของโรงแรมและที่พักโฮสเทล 6 แห่ง เป็นครัวกลาง อีกทั้งในปี 2566 บริษัทฯ มีแผนจะขยายพื้นที่ให้บริการจากโรงแรมและที่พักโฮสเทลที่กำลังจะเปิดตัวใหม่ ทั่วกรุงเทพ 4 แห่ง และตั้งเป้าเพิ่มอีก 3 แห่ง ให้ครอบคลุมทุกหัวเมืองใหญ่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย พัทยา เป็นการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ เสริมสร้างรายได้ ลดค่าใช้จ่าย และยังเป็นช่องทางให้พนักงานมีรายได้จากเซอร์วิสชาร์จเพิ่มขึ้น ก้าวสู่บริษัทที่สามารถสร้างผลกำไรได้มากขึ้น"

มร.แกรี่ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ยังวางเป้าหมายขยายการเติบโต โดยแง้มแพลนกลยุทธ์ทางธุรกิจทุกแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การบริหารเครือเดสติเนชั่น กรุ๊ป ให้สอดรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในปีหน้า เตรียมการขยายในส่วนของร้านอาหาร แบ่งออกเป็น แบรนด์ร้านอาหารที่เป็น "เฟรนไชน์มาจากต่างประเทศ" อาทิ Hard Rock Café และ Hooters ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในพื้นที่การท่องเที่ยวสำคัญอย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต เพิ่มการขยายสาขาไปในทำเลที่น่าสนใจมากขึ้น และส่วนของ "มาสเตอร์แฟรนไชส์" อย่างแบรนด์ Big Boy ที่ถือครองลิขสิทธิ์ ได้วางแผนการขยายสาขาไปสู่ตลาดต่างประเทศทั่วเอเชีย แบรนด์ไทยในเครืออย่าง Scoozi Pizza ปัจจุบันมีทั้งหมด 15 สาขา ตัวแบรนด์ที่แข็งแรงได้กระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี มีแนวโน้มตลาดเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาสูตรให้ตรงใจผู้บริโภคมากยิ่งๆ ขึ้น และอีก 15 แบรนด์ที่สร้างขึ้นใหม่อยู่ในส่วนของ Ghost Kitchen บริการสั่งออนไลน์ จะมีการคัดสรรแบรนด์ที่ตรงใจผู้บริโภคได้รับความนิยมมากที่สุด มาเปิดเป็นหน้าร้าน พร้อมขยายสาขาให้ได้ 10 สาขา แล้วต่อยอดสู่การขายแฟรนไชส์ เพื่อสร้างการเติบโตให้แบรนด์นั้นมีศักยภาพยิ่งขึ้น

\"เดสติเนชั่น กรุ๊ป\" ปรับกลยุทธ์รับเทรนด์อนาคต ตั้งเป้าปี 66 ดันธุรกิจโฮสเทลไปทั่วโลก

มร.แกรี่ กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังมุ่งเจาะกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างที่พักโฮสเทล ตั้งเป้าในปี 2566 เดสติเนชั่น กรุ๊ป ขยายธุรกิจที่พักโฮสเทลไป กว่า 150-200 แห่งทั่วโลก ก้าวขึ้นสู่ผู้นำ Global Hostels Brand เป็นแบรนด์โฮสเทลที่ใหญ่และแข็งแกร่งระดับโลก เพื่อเสริมกำลังความแข็งแรงให้กลุ่มธุรกิจในเครือ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายธุรกิจในวงกว้าง ประกอบไปด้วยส่วนของที่พัก อาหาร และกิจกรรมต่างๆ เน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ว่าลูกค้าชอบสไตล์ไหน ทั้งปาร์ตี้ Digital Nomad หรือมาพักผ่อนเป็นครอบครัว โดยที่พักโฮสเทลในเครือสามารถรองรับครอบคลุมได้ทั้งหมด กางแผนวางแพลนระยะสั้นขยายไปสู่ประเทศในแถบอาเซียน อาทิ เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย บาหลี อินโดนีเซีย ศรีลังกา อินเดีย พร้อมสยายปีกแผนระยะยาวสู่อาเซียนและอเมริกาใต้ และยุโรปในอีก 2 ปีข้างหน้า ชูจุดเด่น เดสติเนชั่น กรุ๊ป คือการให้บริการมากกว่าที่พัก แต่เรามอบให้ทั้งประสบการณ์ ที่พัก อาหาร และกิจกรรมท่องเที่ยวครบจบในที่เดียว 

ภาคส่วนของธุรกิจด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ มร.แกรี่ กล่าวว่า บริษัทฯ โฟกัสการเข้าลงทุนในทำเลที่ตั้งเป็นแหล่งธุรกิจและสถานที่ท่องเที่ยวกำลังเป็นที่นิยมของไทย อาทิเช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เกาะสมุย หัวหิน พัทยาและเขาหลัก ยังคงมุ่งเน้นปั้นแบรนด์ที่ดีมีศักยภาพ ภายใต้การบริหารจัดการของเดสติเนชั่น กรุ๊ป ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงในการทำรีแบรนด์ดิ้ง ต่อยอดสร้างมูลค่ารากฐานให้กลุ่มลูกค้าที่สนใจสานต่อธุรกิจในอนาคต

"การเติบโตของการท่องเที่ยวในประเทศไทยยังส่งสัญญาณไปในทิศทางบวก มีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องจากการเที่ยวในประเทศของคนไทยเองมากขึ้น และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังจะกลับมา ผนวกกับรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป เมืองไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มีจุดเด่นหลากหลาย ทั้งธรรมชาติสวย อากาศดี ผู้คนมีอัธยาศัยดี อาหารอร่อย เดสติเนชั่น กรุ๊ป จึงพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนกลุ่มบริษัทต่างๆ ในเครือ Destination Hospitality Management, Collective Hospitality party Hostel และ Destination Eats ให้พร้อมก้าวสู่เส้นทางใหม่ในธุรกิจบริการอย่างเต็มกำลังเช่นกัน" มร.แกรี่ กล่าวทิ้งท้าย