"SEO" คืออะไร มีขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO อย่างไร

"SEO" คืออะไร มีขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO อย่างไร

มาทำความรู้จัก SEO ว่ามีประโยชน์อย่างไร และมีขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO หรือ search Engine Optimization อย่างไรบ้าง

SEO คืออะไร หลายๆ คนที่เขียนบทความลงเว็บไซต์หรือเขียนบล็อกก็คงจะคุ้นเคยกับ SEO หรือ Search Engine Optimization แล้ว SEO มีประโยชน์อย่างไร และมีขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO อย่างไร วันนี้เรามาดูรายละเอียดไปพร้อมๆกันเลย

SEO คืออะไร ใช้ทำอะไร และเหมาะกับคนที่ทำงานสายไหน

  • SEO คืออะไร ?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization ซึ่งแปลเป็นไทยก็จะได้ความว่า “การเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา” เป็นการทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการค้นหาผ่านเว็บ Search Engine โดย Search Engine จะมี AI คอยตรวจจับคำค้นหาเพื่อให้ตรงกับเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการค้นหา

การทำ SEO บนเว็บไซต์ของเรา สิ่งที่ต้องทำก็คือปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ เช่น การใช้คำ เพื่อให้เข้าเกณฑ์พิจารณาของ Search Engine และติดอันดับต้นๆ

  • การทำ SEO มีประโยชน์อย่างไร

เราอาจจะเคยสงสัยว่า Search Engine ต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่แทบทุกวัน โดยเฉพาะ Google เขาเรียงลำดับเว็บไซต์อย่างไร ทำไมบางเว็บถึงติดโฆษณาบนผลลัพธ์การค้นหาได้

ซึ่งตรงนี้แหละ คือกลยุทธ์การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับต้นๆ โดยเฉพาะติดหน้าแรกบนผลลัพธ์การค้นหา เพื่อให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้เข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น และเป็นที่รู้จักมากขึ้น

  • SEO Marketing สําคัญอย่างไร

Marketing หมายถึงการตลาด โดยเฉพาะการทำการตลาดออนไลน์ก็สามารถนำ SEO มาประยุกต์ใช้เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น การที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีตัวตนมากขึ้น

  • ความแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM ?

ก่อนจะรู้จักความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวนี้ เรามารู้จักกับ SEM คร่าวๆก่อน

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing ตัวอย่าง SEM ที่เห็นได้ชัดคือ Google Ads ขึ้นชื่อว่า Ads ก็คือการซื้อพื้นที่เพื่อโฆษณา แถมยังต้องทำ banner เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์ของเรา ซึ่งอาจจะเสียเงินค่าโฆษณา ค่าออกแบบ banner แต่ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกได้ง่ายขึ้น 

ต่างกับ SEO ที่ไม่จำเป็นต้องโฆษณาใดๆ แต่จะใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่อที่จะให้ Search Engine นั้นเห็นเว็บไซต์ของเราและพิจารณาเพื่อติดอันดับให้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต่นว่าการทำ SEO นั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนใดๆ จึงทำให้ SEO ค่อนข้างที่จะยั่งยืนกว่า

  • SEO จำเป็นไหม ควรเริ่มทำตอนไหนดี

รู้หรือไม่ ? มีสถิติบอกว่าคนไทยเสิร์ช Google มากถึง 3 ล้านครั้งต่อวัน ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า SEO นั้นจำเป็นมากในการทำการตลาดออนไลน์ในปี 2022 นี้ และ SEO นี้ยังมีความสำคัญมากกว่า Social Media อีก

เพราะบนโซเชียลมีเดีย เราอาจจะเคยเห็นร้านออนไลน์มาเยอะ แต่ก็มีหลายร้านที่ไม่ได้คุณภาพ ตรงนี้แหละที่ทำให้ SEO มีบทบาท เพราะเมื่อลูกค้าไม่แน่ใจว่าจะเช็กเครดิตหรือความน่าเชื่อถือยังไง ก็จะมาเสิร์ชบน Google ซ้ำอีกทีเพื่อความแน่ใจ อีกทั้งการที่เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ก็จะช่วยให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

แล้วควรเริ่มทำ SEO ตอนไหน คำตอบก็คือ “ทันที” ที่เรามีเว็บไซต์ เพราะข้อมูลบนโลกออนไลน์เคลื่อนไหวอยู่ตลอด 24/7 หรือไม่มีวันหยุดแม้แต่วินาทีเดียว การเริ่มทำ SEO ให้ได้เร็วที่สุด ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจปกระสบความสำเร็จได้ไวขึ้น

  • การทำงานของ SEO มีกี่ขั้นตอน 

การทำ SEO มีขั้นตอนดังนี้

- Crawling คือกระบวนการที่ Google จะส่ง Google bot หรือ spider, Web Crawl ไปเก็บข้อมูลหรือ data ที่มีอยู่บนเว็บไซต์ทั่วโลก เพื่อมาวิเคราะห์ว่าเว็บไซต์ทำเกี่ยวกับอะไร และมีเนื้อหาที่จะเชื่อมโยงกับ keyword อะไร

- Indexing หลังจากการทำ Crawling เพื่อให้ได้ data มาจนทราบว่าแต่ละเว็บไซต์ทำเกี่ยวกับอะไร และเชื่อมโยงกับ keyword ใดบ้าง ก็จะถูกนำมารวมกันเป็นฐานข้อมูลหรือเรียกว่า indexing ผ่าน algorithm ของ Google

- Serving Ranking หลังจากที่ indexing ได้เก็บรวบรวมข้อมูลทั้ง data keyword และเว็บไซต์แล้ว กระบวนการถัดมาก็คือ Serving & Ranking วิเคราะห์ว่าข้อมูลใดหรือ keyword ใดจะถูกนำมาใช้งานกับเว็บไซต์ใด ตอนไหน เป็นต้น

หลังจากที่เริ่มการค้นหา Google ก็จะนำ Keyword มาเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่ถูกเก็บข้อมูลไว้มา list ลงบนผลลัพธ์การค้นหา โดยมี Search Engine Algorithm มาช่วยจัดลำดับผลการค้นหาเว็บไซต์ ซึ่งจะต้องมี keyword ที่ตรงกับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องมากที่สุดด้วย

  • ขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO marketing

ขั้นตอนการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ มีอยู่ 7 วิธี ดังนี้

1. วางกลยุทธ์กำหนดเป้าหมาย

กำหนดเป้าหมายทำ SEO
ก่อนจะเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับต้นๆ คือการกำหนดเป้าหมาย เพราะการกำหนดเป้าหมายคือการกำหนดจุดหมายปลายทาง เพื่อให้เราใช้เวลาการเดินทางสั้นที่สุด หากไม่กำหนดจุดหมายปลายทาง ก็เหมือนกับเรากำลังหลงทางและใช้เวลาในการเดินทางมากเกินไป

อย่างแรกที่ต้องกำหนดในการทำ SEO คืออยากให้ธุรกิจของเราได้อะไรจากการทำ SEO เช่น Awareness, Leads, Traffic, Conversion และกำหนด keyword ที่จะแข่งกับเว็บไซต์คู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อม ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์ของเราทำเกี่ยวกับหนังสือ ก็ควรจะใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ เช่น หนังสือขายดี, best seller book เป็นต้น หรือทางอ้อม เช่น นวนิยาย วรรณกรรม เป็นต้น

2. Research Keyword วางโครงสร้างเว็บไซต์

หลังจากกำหนดเป้าหมายแล้ว ต่อมาก็คือวางโครงสร้างเว็บไซต์ด้วยการกำหนด keyword เพื่อทำ SEO แล้วจะใช้ keyword อะไร แบบไหนดี สิ่งที่ต้องทำก่อนกำหนด keyword ก็คือ research หรือศึกษาก่อนว่าลูกค้ามักจะค้นหาด้วยคำว่าอะไรที่ใกล้เคียงกับ keyword ที่เราจะกำหนดขึ้นมา รวมไปถึงดู search volume ว่าคำไหนใช้บ่อย เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับได้ง่ายขึ้น

การ Research keyword สามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยให้เราค้นหา keyword ได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีทั้งฟรีและเสียเงิน เครื่องมือที่ดังก็จะมี Ubersuggest, Ahrefs, Google Keyword Planner เป็นต้น

3. สร้างเว็บไซต์

การสร้างเว็บไซต์ในที่นี้ไม่ใช่การสร้างแบบตามใจฉัน แต่เป็นการสร้างเว็บไซต์โดยเข้าเงื่อนไขของ SEO ตั้งแต่ต้น โดยเริ่มจากการเช่า Hosting และจด domain โดยต้องตั้งชื่อให้สะกดง่ายและเป็นสากล เพื่อให้ง่ายต่อการจัดอันดับของ Search Engine Algorithm

และอีกปัจจัยที่สำคัญของการเขียนเว็บไซต์คือต้องทำ HTTPS (https://…) มี s เพื่อบ่งบอกว่าเว็บไซต์นี้ปลอดภัย เพราะ Google เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก หากเว็บไซต์ไม่มีความปลอดภัยก็จะไม่เข้าเกณฑ์ SEO

ผู้ให้บริการ Hosting ที่แนะนำคือ Hostaom เป็นผู้ให้บริการ hosting ในไทยที่มีความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือสูง

4. เขียน Content SEO

หัวใจหลักของเว็บไซต์ก็คือคอนเทนต์หรือเนื้อหาต่างๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์ การสร้างคอนเทนต์ที่ดีจะต้องมี keyword ที่ต้องการ เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาใน keyword นั้นๆ

นอกจากนี้คอนเทนต์ที่ดีจะต้องดึงดูดผู้อ่าน เช่น มีประโยชน์ น่าติดตาม อ่านง่าย จะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น เพราะการเขียน content SEO มีเรื่องของ Search Intent เข้ามาด้วย ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือเจตนาในการค้นหา ในปัจจุบันพฤติกรรมของผู้ใช้งานจะเริ่มค้นหาสิ่งที่ต้องการมากขึ้น เช่น วิธีซ่อมทีวี เดินทางไปเชียงใหม่ยังไง เริ่มต้นลงทุนอย่างไร เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้าของเว็บไซต์จำเป็นต้องสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับ Search Intent ให้มากขึ้น

5. ปรับแต่ง On-Page SEO

ต่อมาคือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์ SEO ของ Google มากขึ้นด้วยการทำ On-Page SEO หรือ On-Site SEO คือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

On-Page SEO ที่ดีจะต้องเข้าถึงผู้ใช้งานง่ายหรือเข้าใจง่ายว่าคอนเทนต์บนเว็บไซต์นั้นเกี่ยวกับอะไร เพื่อดึงให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น ซึ่งวิธีการปรับแต่ง On-Page SEO มีดังนี้

- ใส่ keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หรือสินค้าใน 100 คำแรก หรือใส่ลงบนหัวข้อ (Heading) ต่างๆ 

- ปรับแต่ง Title Tags, Meta Description ด้วยการใส่ keyword ของเว็บไซต์ เพื่อให้ Search Engine Algorithm ช่วยจัดอันดับเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

- ทำ internal link ไปยังหน้าเพจอื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าอยู่บนเว็บไซต์ของเราได้นานขึ้น

- ย่อขนาดไฟล์ต่างๆ โดยเฉพาะรูปภาพและวิดิโอ เพื่อให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น

- ใส่ HTML Tags (H1 H2 H3) เพื่อจัดเรียงความสำคัญของเนื้อหา

- ออกแบบเว็บไซต์ให้เข้าถึงได้ทุกแพลตฟอร์ม เช่น มือถือ แท็บเล็ต ซึ่งตรงนี้จะมีผลต่อการพิจารณาจัดอันดับจาก Google ด้วย

6. Link Building

Link Building คือการทำให้เว็บไซต์อื่นๆ ลิงค์กลับมาเว็บไซต์ของเรา เรียกอีกอย่างว่า Off-Page SEO มีข้อดีคือเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพราะเว็บไซต์ของเรานั้นสามารกเป็นแหล่งอ้างอิงให้กับเว็บไซต์อื่นได้

วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่า Backlink นอกจากจะได้รับความน่าเชื่อถือแล้ว ยังมีผลต่อการจัดอันดับการค้นหาด้วย เพราะเว็บไซต์ที่ได้ Backlink เยอะ Algorithm ของ Google ก็จะมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ จึงได้รับการจัดอันดับให้อยู่หน้าแรก

การทำ Backlink ที่ดี มีดังนี้

- เขียนคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย วิธีนี้ดีที่สุด
- สร้าง infographic เพื่อให้ผู้ที่นำไปใช้อ้างอิงกลับมาที่เว็บไซต์ของเรา
- จ้างเว็บไซต์ดังๆ ขนาดใหญ่ หรือมีคนติดตามเยอะให้เขียนคอนเทนต์แล้วทำ backlink กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา
- ไปเป็น Guest writing ให้กับเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อสร้าง Backlink กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา
- แชร์บทความลง Social media เพื่อเพิ่มยอด traffic ซึ่งจะทำให้ Google มองว่าเป็นเว็บไซต์ที่ดี มีคนอ่านและติดตามเยอะ

การทำ Link Building ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งเว็บไซต์โดยตรง แต่ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญต่อการทำ SEO ไม่แพ้กัน

7. Measurement (วัดผล) Optimization (ปรับแต่งแก้ไข)

สิ่งสุดท้ายที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือการวัดผลและปรับแต่งแก้ไข การวัดผลคือการดูผลลัพธ์หลังจากที่ได้ทำ SEO ไปแล้วว่ามีประสิทธิภาพขนาดไหน มีข้อผิดพลาดตรงไหน และรีบแก้ไขเพื่อให้การทำ SEO เป็นไปตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

การติดตามวัดผล SEO มีวิธีง่ายๆคือ ดูผ่าน Google Analytics, Google Search Console และ Google Data Studio ซึ่งผู้ใช้งานมือใหม่ควรดูองค์ประกอบ ดังนี้

- Ranking : อันดับเว็บไซต์ที่แสดงผลจากการค้นหาด้วย keyword ต่างๆ เราสามารถติดตามอันดับเว็บไซต์ด้วยเครื่องมือที่ชื่อว่า Proranktracker

- Impressions : เว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานเห็น ไม่ว่าจะอยู่อันดับไหนก็ตาม จะได้ 1 impression ซึ่งเว็บไซต์ที่มียอด impression เยอะก็หมายความว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานเห็นเยอะ

- Click : จำนวนคลิกที่ผู้ใช้งานเว็บไซต์กดเข้ามาในเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหาด้วย Google

- Traffic : จำนวนผู้เข้าชมและใช้เวลาบนเว็บไซต์ การทำ SEO จะช่วยเพิ่ม Organic Traffic หรือได้ Traffic ฟรี ไม่เสียเงินแต่อย่างใด 

  • ข้อห้ามในการทำ SEO

การเขียน SEO ที่ดีนั้นก็มีข้อควรระวังและข้อห้ามเช่นกัน โดยมีข้อห้ามอยู่ 5 ประการ ดังนี้

1. ห้ามเขียนคอนเทนต์โดยไม่มีคีย์เวิร์ด

อย่างที่เราได้ทราบกันแล้วว่า keyword มีผลต่อการทำ SEO อย่างมาก ถ้าขาด keyword ไป Algorithm ก็จะไม่สามารถจับและเชื่อมโยงระหว่าง keyword กับเว็บไซต์ของเราได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ Google จะไม่สามารถจับเว็บไซต์ของเรามาจัดอันดับในผลการค้นหาได้

2. ห้ามทำ Duplicate Content

การคัดลอกเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและไม่สามารถยอมรับได้ในทุกกรณี ดังนั้น การเขียนคอนเทนต์ที่ดี ห้าม copy ข้อความจากเว็บไซต์อื่น ซึ่ง Google ก็มี Algorithm ที่คอยตรวจสอบการคัดลอก เพื่อไม่ให้เว็บไซต์ที่เป็นต้นฉบับเกิดความเสียหาย และอาจดำเนินคดีกับเราได้ 

3. ห้ามใช้โปรแกรมสปินบทความ

โปรแกรมสปินคือโปรแกรมที่จะปรับเปลี่ยนคำเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงการ copy จากต้นฉบับ เพื่อไม่ให้จับได้ แต่การใช้โปรแกรมนี้มีข้อจำกัดคือ โปรแกรมจะดัดแปลงคำและย้ายตำแหน่งคำจนไม่สามารถอ่านได้สมูธ 

หรือบางครั้งก็ทำความเข้าใจได้ยาก คล้ายๆกับกรณีใช้ Google Translate แปลงภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย ซึ่งจะมีผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

4. ห้ามสแปม Backlink

การจงใจสร้าง Backlink เพื่อหวังให้ลูกค้ากดลิงค์กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา โดยแปะลิงค์บนเว็บไซต์ที่ไม่ได้คุณภาพ เช่น เว็บไซต์ลามก หรือเว็บไซต์การพนัน Google จะประเมินว่าเว็บไซต์ของเรานั้นไม่มีคุณภาพไปด้วย ทำให้มีผลต่อการประเมิน SEO ด้วย

5. ห้ามใช้ Popup ที่ส่งผลไม่ดีต่อผู้ใช้งาน

pop-up เป็นโฆษณาที่เด้งขึ้นมาบนจอ ซึ่งในด้านผู้ใช้งานก็คงไม่มีใครชอบลูกเล่นนี้ จึงอาจทำให้ลูกค้าหรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ออกจากเว็บของเราได้ง่ายขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อ SEO อย่างแน่นอน

คำถามการทำ SEO ที่พบบ่อย

  • การทำ SEO ใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ?

การทำ SEO ต้องใจเย็นและอดทนอย่างมาก เพราะอย่างที่ได้กล่าวไปในหัวข้อเปรียบเทียบ SEO กับ SEM แล้วว่าการทำ SEO นั้นจะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนกว่า โดยใช้เวลาประมาณ 4-8 เดือน อาจเร็วหรือช้ากว่า โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้

- keyword ที่ใช้มีจำนวนการแข่งขันมากหรือน้อย หรือมีจำนวนเว็บไซต์คู่แข่งใน keyword เดียวกัน
- ระบบหลังบ้าน การวาง coding หรือ site structure
- ความน่าเชื่อถือของเนื้อหาบนเว็บไซต์
- ประสบการณ์ในการใช้งานที่ดี
- อื่นๆ

  • SEO ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม ?

ผลลัพธ์ SEO เปลี่ยนแปลงได้ตลอด เพราะ Algorithm ของ Google มีการอัพเดทอยู่เรื่อยๆ กรณีที่ keyword มีการแข่งขันสูง อันดับเว็บไซต์ของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไวขึ้น

วิธีป้องกันไม่ให้อันดับเว็บไซต์ของเราหลุดจากหน้าแรกก็คือการปรับปรุง SEO บ่อยๆ เพื่อรักษาคุณภาพของเนื้อหา โดยเฉพาะ On-Page SEO จะช่วยให้เว็บไซต์อยู่บนหน้าการค้นหาได้ยาวนานยิ่งขึ้น

  • SEO ทำเฉพาะทางด้านเทคนิคก็ติดอันดับได้ ?

คำตอบคือไม่ได้ เพราะการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ จะต้องมีองค์ประกอบทั้ง 3 ปัจจัยดังนี้
-    ปรับแต่ง On-Page SEO
-    สร้าง Link Building และ Website Promotion หรือ Off-Page SEO
-    การทำ Technical SEO หรือทำเกี่ยวกับโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อการเก็บข้อมูล (Indexing) ของ Google

  • สรุป

สรุปขั้นตอนการทำ SEO

การทำ SEO เป็นส่วนหนึ่งของการทำการตลาดออนไลน์ซึ่งจำเป็นมากในยุคนี้ เพราะการที่จะให้เว็บไซต์ของเราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายที่สุดก็คือการนำเว็บไซต์ไปติดอยู่บนผลลัพธ์การค้นหาของ Google เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มักค้นหาสิ่งที่ต้องการผ่าน Google

และการทำ SEO นี้ ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับอยู่ในผลลัพธ์การค้นหา และที่สำคัญการทำ SEO นั้นไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อการโฆษณาใดๆ แต่มีข้อเสียก็คือใช้เวลาค่อนข้างนานในการพิจารณาจากทาง Google และต้องรักษาและปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหาอยู่บ่อยครั้ง เพื่อไม่ให้เว็บไซต์ของเราหลุดจากอันดับการค้นหา

โดยสรุปแล้ว การทำ SEO นั้นมีผลดีในระยะยาว แต่ก็ต้องลงแรงเยอะหน่อย เพื่อให้คุณภาพนั้นอยู่กับเราไปนานๆ และทำให้เว็บไซต์ของเราน่าเชื่อถือในระยะยาว

อ้างอิง : nerdoptimize.com