ทนายตั้ม เคลื่อนไหว! หลังศาลไม่ให้ประกัน หลานอดีตรัฐมนตรี คดีมอมยา ดาราสาว

ทนายตั้ม เคลื่อนไหว! หลังศาลไม่ให้ประกัน หลานอดีตรัฐมนตรี คดีมอมยา ดาราสาว

"ทนายตั้ม" เคลื่อนไหวล่าสุด! หลังศาลอาญาไม่ให้ประกัน "หลานอดีตรัฐมนตรี" คดีมอมยาข่มขืน "ดาราสาว" ยันลุยช่วยเหลือเหยื่อเต็มที่ พร้อมแจงกรณีแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมอีก 3 ข้อหาหนัก

หลังจากที่เมื่อวานนี้(30 ส.ค. 65) ศาลอาญา ไม่ให้ประกันตัวนาย เอ็ม อภิดิศร์ "หลานอดีตรัฐมนตรี" ในคดีกระทำชำเรา "ดาราสาว" โดยศาลพิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องคัดค้านการปล่อยชั่วคราว รวมทั้งมีผู้เสียหายคัดค้านด้วยว่า หากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้พนักงานสอบสวนตรวจโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาเพื่อตรวจสอบเท็จจริงในแชทไลน์

 

กรณีนี้จึงมีเหตุให้เชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวแล้วผู้ต้องหาอาจทำลายหลักฐานและยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงยกคำร้อง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

 

ล่าสุดทาง "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ออกมาเคลื่อนไหวหลังศาลอาญาไม่ให้ประกันตัว "หลานอดีตรัฐมนตรี" โดยระบุข้อความว่า

 

ขอบคุณศาลอาญามากเลยนะครับ ที่ไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาคดี หลานอดีตรัฐมนตรี ล่วงละเมิดดาราสาวประกันตัวออกไป เพราะมีการยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน แถมไม่ยอมให้ตำรวจตรวจโทรศัพท์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ สงสารเหยื่อครับที่ถูกกระทำแบบนี้

 

สัญญาว่าจะลุยคดีนี้ให้เต็มที่เพื่อช่วยเหลือเหยื่อ และเป็นกำลังใจให้ผู้หญิงไม่มีทางสู้ทุกคน ที่กล้ายืนหยัดเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองครับ #ไหนว่าหลักฐานแน่นไงครับ #ผมว่าผมแน่นกว่านะ

 

ทนายตั้ม เคลื่อนไหว! หลังศาลไม่ให้ประกัน หลานอดีตรัฐมนตรี คดีมอมยา ดาราสาว

 

 

ซึ่งก่อนหน้านี้ "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้ระบุถึงการแจ้งความดำเนินคดี "หลานอดีตรัฐมนตรี" เพิ่มเติมอีก 3 ข้อหาหนัก ว่า

 

การที่ผู้ต้องหามีการลบข้อความจากโทรศัพท์ของน้องผู้เสียหาย (ดาราสาว) ยกเลิกข้อความจากโทรศัพท์ของผู้ต้องหาเองด้วย และผู้ต้องหาแถลงข่าวว่าน้องผู้เสียหายนั้นกระทำการ "แบล็คเมล์ (Blackmail)" ผู้ต้องหา ผมจึงเห็นว่าผู้ต้องหาน่าจะเข้าข่ายกระทำความผิดทางอาญาเพิ่มขึ้นอีก 3 ข้อหา คือ

 

ข้อหาที่ 1. "ทำพยานหลักฐานเท็จเพื่อให้เกิดคดีอาญา"

 

การที่ผู้ต้องหาลบข้อความบางส่วนออกไปจากโทรศัพท์ของผู้เสียหาย หรือลบข้อความบางส่วนออกไปจากโทรศัพท์ของผู้ต้องหาเองนั้น เพื่อเจตนาจะให้ข้อความทั้งหมดเมื่ออ่านแล้วมีลักษณะที่ทำให้เห็นว่า ผู้เสียหายจงใจ "แบล็คเมล์ (Blackmail)" ซึ่งมีความหมายตรงกับกฎหมายในเรื่องของ "การรีดเอาทรัพย์" ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 หมายความว่า ต้องการให้เห็นว่าผู้เสียหายต้องการผลประโยชน์โดยการขู่ว่าจะเปิดเผยความลับ

 

ดังนั้น การลบข้อความที่มีเจตนาในลักษณะแบบนี้ จึงเข้าข่ายทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้เชื่อว่ามีความผิดฐานรีดเอาทรัพย์เกิดขึ้น ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เข้าข่ายเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 179 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ข้อหาที่ 2. "ทำลายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสาร"

 

การใช้งานโทรศัพท์เพื่ออ่านตัวอักษรหรือพิมพ์หรือลบตัวอักษรหรือข้อความนั้น การใช้งานในส่วนนี้ถือว่าเป็นการใช้งานโทรศัพท์อย่างเป็น "เอกสาร" เพราะเอกสาร คือ กระดาษหรือวัตถุอื่นใดที่ทำให้ปรากฏตัวอักษร ตัวเลข ฯ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (7) ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ในขณะที่พิมพ์ตัวอักษรหรือข้อความหรือถ้อยคำนั้น ถือว่าเป็นการใช้งานคอมพิวเตอร์ในลักษณะเป็นวัตถุที่ทำให้ปรากฏตัวอักษร จึงถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์และข้อความหรือถ้อยคำที่พิมพ์นั้นเป็นเอกสารทั้งหมด (เทียบ คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 4311/2557)

 

ดังนั้น เมื่อผู้ต้องหาแอบใช้งานโทรศัพท์ของผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายสลบหรือไม่ได้สติเพื่อทำการลบข้อความหรือตัวอักษรที่อยู่ในโทรศัพท์ จึงเป็นการใช้งานโทรศัพท์อย่างเป็นเอกสาร ฉะนั้นเมื่อมีการลบข้อความหรือถ้อยคำหรือตัวอักษรออกไป จึงเป็นการกระทำให้เอกสารเสียหายหรือไร้ประโยชน์ และข้อความหรือถ้อยคำหรือตัวอักษรที่ออกไปนั้น เป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์เป็นพยานหลักฐานในคดีความได้ จึงถือว่าการลบข้อความออกจากโทรศัพท์เป็นการทำให้เสียหาย ทำลายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสาร ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายได้ อันเป็นความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท

 

ข้อหาที่ 3. "ปลอมเอกสาร"

 

การแก้ไข้หรือลบข้อความในเอกสารที่อยู่ในโทรศัพท์ของผู้เสียหาย ยังเข้าข่ายกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารทั้งหมดหรือบางส่วน โดยการเติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง ในประการที่มีเจตนาทำให้ผู้เสียหายเชื่อหรือเข้าใจว่าไม่เคยมีข้อความดังกล่าวอยู่มาก่อนเลย ทำให้ผู้เสียหายเชื่อว่าไม่มีข้อความที่ถูกลบออกไปอยู่ในโทรศัพท์ของผู้เสียหาย เข้าข่ายเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ดังนั้นในวันนี้(30 ส.ค. 65) ผมจึงให้ทนายในสำนักงาน Sittra Law Firm พร้อมน้องผู้เสียหาย ไปแจ้งความดำเนินคดีผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 3 ข้อหาหนักครับ

 

ที่มา ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ