เผาแล้ว! สห.เหยื่อรุ่นพี่ปืนโหด เมียอุ้มลูกวัยแบเบาะลาเป็นครั้งสุดท้าย

เผาแล้ว! สห.เหยื่อรุ่นพี่ปืนโหด ครอบครัวถือเคล็ดประเพณีชนเผ่าภูไท สุดเศร้า! เมียอุ้มลูกวัยแบเบาะลาพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ขอบคุณกองทัพจัดพิธีให้อย่างสมเกียรติ

วันที่ 23 สิงหาคม 2565 เวลา 07.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประกอบพิธีฌาปนกิจศพ สิบตรี วัชระ อินาลา "สห.เหยื่อรุ่นพี่ปืนโหด" หรือ สห.เกิ้ล อายุ 29 ปี ตำแหน่งสารวัตรทหาร (สห.) สังกัดกองร้อยทหารสารวัตร มณฑลทหารบกที่ 210 (มทบ.210) ที่ถูกเพื่อนร่วมสังกัดคือ สิบโท มานิตย์ หรือ สห.วิทย์ ใช้อาวุธปืนสั้นขนาด 9 มม. จ่อยิงในระยะเผาขนจนเสียชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าอยู่เวรรักษาการณ์หน้าทางเข้า-ออกค่ายพระยอดเมืองขวาง เมื่อเย็นวันที่ 18 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา

 

โดย สห.วิทย์ ผู้ก่อเหตุ ได้ขอติดต่อเข้ามอบตัวกับผู้บังคับบัญชา และอยู่ระหว่างการดำเนินคดีของศาลมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว

 

 

ทั้งนี้ พล.ต.สถาพร บุญชู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 (ผบ.มทบ.210) นำทหารกองเกียรติยศร่วมพิธีฌาปนกิจ "สห.เหยื่อรุ่นพี่ปืนโหด" หรือ สห.เกิ้ล อย่างสมเกียรติ รวมถึงเป็นประธานในการประกอบพิธีไว้อาลัย โดยมีนางอัมรา อายุ 67 ปี แม่ผู้เสียชีวิต และน.ส.สกาวเดือน ขันจันทร์ หรือ เปิ้ล อายุ 32 ปี (ภรรยา สห.เกิ้ล) อุ้มน้องภาคิน ลูกชายวัย 1 เดือน รวมถึงญาติพี่น้องร่วมไว้อาลัยส่งวิญญาณ สห.เกิ้ล สู่สรวงสวรรค์

 

ซึ่งภาพที่ น.ส.เปิ้ล อุ้มลูกชายวัยแบเบาะมาส่งศพพ่อเป็นภาพที่สลดหดหู่ที่สุดสำหรับบรรดาญาติพี่น้อง รวมถึงข้าราชการทหารที่มาร่วมงาน เนื่องจาก สิบตรีวัชระ หรือ สห.เกิ้ล อายุ 29 ปี เพิ่งเข้าพิธีแต่งงานกับ น.ส.เปิ้ล ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ว่าการอำเภอโพนสวรรค์ เมื่อต้นปี 2564 และได้กำเนิดลูกชายคนแรก คลอดได้อายุ 1 เดือน ทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าพ่อต้องเป็นกำพร้าจากข้ออ้างของมือสังหารว่าไม่เคารพรุ่นพี่

 

ในการประกอบพิธีฌาปนกิจศพ สิบตรีวัชระ หรือ สห.เกิ้ล อาจแตกต่างจากงานศพผู้เสียชีวิตทั่วไป โดย ต.โพนแพง ผู้คนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์ผู้ไทย หรือ ชนเผ่าภูไท ได้ยึดถือประเพณีตามความเชื่อของบรรพบุรุษ ในกรณีเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จะไม่มีพระสงฆ์การสวดอภิธรรมศพ อีกทั้งต้องเผาก่อนเที่ยง จึงมีคำสอดคล้องว่า "ตายก่อนวัย ไปก่อนเที่ยง" โดยพระคุณเจ้าจะยืนรอประกอบพิธีอยู่ที่กองฟอนที่เดียว

 

 

ดังนั้นจึงเคลื่อนศพออกจากบ้านเลขที่ 245 หมู่ 7 บ้านไทยเจริญ ต.โพนแพง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ตั้งแต่เวลา 07.30 น. เพื่อนำไปประกอบพิธีฌาปนกิจศพที่วัดโพนแพง (วัดป่า) บนเมรุชั่วคราว และมีข้อสังเกตสำคัญในการเคลื่อนย้ายศพ คือต้องมีหญิงม่ายสามีตาย จำนวน 2 คน จุดกระบองไฟ เดินนำขบวนศพไปถึงสถานที่ประกอบพิธี โดยหญิงม่ายต่างคนจะจุดกระบองไฟของตนเอง และห้ามจุดต่อจากกระบองของอีกคน

 

เมื่อขบวนศพมาถึงที่เมรุชั่วคราว พระสงฆ์จะประกอบพิธีตัดกรรมตามความเชื่อ โดยใช้ก้านกล้วยเป็นตัวสำคัญ มีญาติเช่น พ่อ แม่ ลูก เมีย ฯลฯ ร่วมในพิธีดังกล่าวนี้ พระสงฆ์จะกล่าวถึงวิญญาณของผู้ตายว่า ตนเองเป็นวิญญาณแล้วไม่ต้องมาห่วงใยมนุษย์ จงไปอยู่ในโลกใหม่ของตนคือโลกวิญญาณ ตัดห่วงตัดใยกัน ณ บัดนี้

 

จากนั้นใช้มีดฟันที่ก้านกล้วยจนขาดออกจากกัน ถือว่าได้ตัดขาดซึ่งกันและกันแล้ว หลังนำร่างของผู้ตายวางบนกองฟอน ญาติก็จะเลี้ยงข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่ม มื้อสุดท้ายหน้าโลงศพ พร้อมเรียกญาติพี่น้องเพื่อนสนิทได้ร่วมรับประทานด้วย ถือเป็นประเพณีความเชื่อของชนเผ่าภูไท ที่ยึดถือปฏิบัติมาแต่โบราณ เชื่อว่าจะเกิดสิริมงคลกับครอบครัว รวมถึงป้องกันการเกิดอาเพศกับญาติพี่น้อง และคนในหมู่บ้าน จึงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามความเชื่อมาช้านาน

 

ด้าน น.ส.สกาวเดือน ภรรยาผู้ตาย และนางอัมรา แม่ของผู้ตาย เปิดเผยขณะญาติๆจุดไฟเผาร่าง สห.เกิ้ล ว่า ยอมรับมาถึงวันนี้ครอบครัวยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสีย แต่ต้องเข้มแข็งเพราะต้องดูแลครอบครัวทั้งแม่สามีรวมถึงลูกชายที่เพิ่งคลอดได้เดือนเดียว ยังไม่ทันเห็นหน้าพ่อ ส่วนหนึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจที่สามีได้รับใช้ชาติ สมเป็นชายชาติทหาร ก่อนหน้านี้ปฏิบัติหน้าที่เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ก่อนที่จะย้ายมาเป็น สห. ที่ มทบ.210 เพราะอยากมาดูแลแม่และครอบครัว

 

"วันนี้ขอบคุณกองทัพบก และ มทบ.210 ที่ดูแลช่วยเหลือการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลให้สมเกียรติชายชาติทหาร ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง อยากวิงวอนให้กองทัพบกดูแลช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิ์ตามระเบียบทางราชการ นอกจากนี้ต้องการให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการเอาผิดกับผู้ก่อเหตุให้รับโทษสูงสุดถึงคือประหารชีวิต เพราะครอบครัวตนและสามียังแค้นใจ ไม่สามารถอโหสิกรรมได้ เพราะเป็นการกระทำที่โหดร้ายเกินคน" ภรรยาของผู้เสียชีวิต กล่าว

 

เผาแล้ว! สห.เหยื่อรุ่นพี่ปืนโหด เมียอุ้มลูกวัยแบเบาะลาเป็นครั้งสุดท้าย

 

ภาพ/ข่าวโดย พงศ์สุคนธ์ คุณธรรมมงคล จ.นครพนม