ยังไม่โอนย้าย ส.ต.ท.หญิง ทำร้ายทหารรับใช้ กลับต้นสังกัด บก.ส.1

ยังไม่โอนย้าย ส.ต.ท.หญิง ทำร้ายทหารรับใช้ กลับต้นสังกัด บก.ส.1

ผบก.ส.1 ยันยังไม่ได้รับหนังสือโอนย้าย ส.ต.ท.หญิง ทำร้ายทหารรับใช้ กลับต้นสังกัดเดิม ย้ำไม่ปกป้อง หากผลทางคดีพื้นที่ สภ.เมืองราชบุรี มีความผิดจริง เตรียมตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง เผยประวัติเข้ารับราชการตำรวจ สังกัดตำรวจสันติบาลปี 60 ก่อนถูกขอตัวไปช่วยราชการ กอ.รมน.ภาค4 (ส่วนหน้า) จนถึงปัจจุปัน

พล.ต.ต.อุดร วงษ์ชื่น ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานหรือหนังสือโอนย้าย ส.ต.ท.หญิง ช่วยราชการ กอ.รมน.ภาค 4 (ส่วนหน้า) กลับมาต้นสังกัดเดิมแต่อย่างใด หลังก่อเหตุข่มขู่ทำร้ายกักขังหน่วงเหนี่ยว อดีตทหารหญิงคนรับใช้ได้รับบาดเจ็บ โดยหากเป็นความจริงทางตำรวจสันติบาล 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของ ส.ต.ท.หญิง จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง

โดยจะต้องมีการนำผลการสอบสวนทางคดีของพนักงานสอบสวน สภ.เมืองราชบุรี มาประกอบว่าคดีที่ สภ.เมืองราชบุรี มีความผิดจริงหรือไม่อย่างไร เพราะจะมีผลต่อการพิจารณาเอาผิดทางวินัยร้ายแรงตามระเบียบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดไว้ พร้อมยืนยันว่าตำรวจสันติบาล 1 ไม่ปกป้องอย่างแน่นอน หากพบว่ากระทำผิดชัดเจน

สำหรับ ส.ต.ท.หญิง คนดังกล่าวบรรจุเข้ารับราชการตำรวจ ในตำแหน่งผู้บังคับหมู่( ผบ.หมู่) สังกัดกองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาลเมื่อปี 2560 จากนั้นก็ย้ายมาสังกัดกองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 ก่อนจะมีการขอตัวไปช่วยราชการที่ กอ.รมน.ภาค4 (ส่วนหน้า) จนถึงปัจจุปัน

พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) เปิดเผยว่าเรื่องการไปช่วยราชการนั้นตนเองยังไม่ทราบว่าไปช่วยราชการวันไหนอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของธุรการ ซึ่งการช่วยราชการ เขาสังกัดที่ตำรวจสันติบาล แต่ตัวไปปฎิบัติหน้าที่ กอ.รมน.ภาค4 (ส่วนหน้า)​ เรื่องนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานกับตำรวจราชบุรีแล้ว ส่วนส.ต.ท.หญิงรายนี้ตนเองไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว และได้ให้ต้นสังกัดตรวจสอบรายละเอียดแล้วว่าต้องมารายงานตัวหรือไม่

ส่วนการกระทำดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดวินัยร้ายแรงหรือจะมีคำสั่งให้ออกจากราชการหรือไม่อย่างไรนั้น พล.ต.ท.สุรพงษ์ เปิดเผยว่า ต้องรอดูผลการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งได้ประสานกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองราชบุรีแล้ว

“ ยืนยันว่าการที่ตำรวจไปทำร้ายประชาชนไม่สามารถทำได้ เพราะมีความผิดทั้งวินัยและอาญา แม้จะเป็นเวลานอกราชการก็ตาม พร้อมยืนยันว่าไม่มีการเข้าข้างหรือช่วยเหลือกันแน่นอนแม้เป็นตำรวจด้วยกัน ใครทำผิดก็ต้องรับโทษทัณฑ์ตามที่กระทำ เรื่องนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ไม่ได้กำชับสั่งการอะไรเป็นพิเศษ ยืนยันว่าแม้จะเป็นการกระทบกระทั่งกันระหว่างทหารและตำรวจแต่ไม่เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เป็นเรื่องคนในหน่วยที่ทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีอาญาต่อไป”