นาฬิกาตั๊กแตน

ใครไปมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แค่เดินชมอาคารเก่าแก่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งมีอายุกว่า 800 ปี ก็จะรู้สึกได้ถึง “ความขลัง” ของสถานที่แห่งนี้
เคมบริดจ์มีชื่อเสียงระดับโลก มีศิษย์เก่าและอาจารย์ที่ได้รับรางวัลโนเบลจำนวนมากมายล่าสุดมีผู้ได้รับรางวัลโนเบลมาแล้วถึง 121 คน และในจำนวนนั้น มีหนึ่งคนที่ได้รับรางวัลนี้ถึง 2 ครั้ง
ดังนั้น เวลาที่ผมพาผู้บริหาร ข้าราชการ หรือผู้นำองค์กรธุรกิจไปอัปเกรดความรู้ที่นั่น ผมจึงมักถือโอกาสพาไป “ตามรอย” บุคคลสำคัญของโลกที่มาจากเคมบริดจ์ควบคู่กันไปด้วย
เพราะบทเรียนบางอย่างในชีวิต ไม่ได้มีอยู่ในสไลด์ที่ใช้สอนในห้องเรียน
ครั้งหนึ่ง ผมพาไปชมบ้านพักของเซอร์ไอแซค นิวตันไปยืนใต้ต้นแอปเปิ้ลในสวนหน้าบ้าน ต้นที่นิวตันมองเห็นลูกแอปเปิ้ลหล่นลงมา จนเกิดแรงบันดาลใจนำไปค้นคว้า และค้นพบ “กฎแห่งแรงโน้มถ่วง”
แน่นอนว่าไม่ใช่ต้นแอปเปิ้ลดั้งเดิมเมื่อ 350 ปีที่แล้ว แต่เป็นหลานเหลนของต้นเดิม และปลูกไว้ในตำแหน่งเดิม ผมตื่นเต้นกับต้นแอปเปิ้ลนี้ เพราะได้อ่านเรื่องราวมาตั้งแต่เด็ก ถึงกับไปเก็บลูกแอปเปิ้ลที่สุกและหล่นลงมาบนพื้น แกะเอาเมล็ดกลับไปเพาะที่เมืองไทย หวังจะปลูกไว้เป็นที่ระลึก
แต่ก็เพาะไม่ขึ้นครับ 555
อีกครั้งหนึ่ง ผมพาผู้บริหารเดินไปที่ Christ’s College ตอนสามทุ่ม ต้องขออนุญาต รปภ. เข้าไปในเขตหวงห้ามเพราะเป็นยามวิกาล เพื่อขอดูห้องพักของชาร์ลส์ ดาร์วิน สมัยที่ท่านเป็นนักศึกษาอยู่ที่นี่เมื่อกว่า 200 ปีก่อน
ตอนแรก รปภ. ไม่ให้เข้า ผมต้องอ้อนวอนว่าผมมาไกลจากไทยแลนด์ พรุ่งนี้จะกลับแล้ว ขอแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น
สุดท้ายก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปถ่ายรูปหน้าห้อง ที่มีป้ายติดไว้ว่า C. Darwin ยืนตรงนั้นหนึ่งนาที แต่แค่นั้นก็รู้สึกเหมือนได้แตะประวัติศาสตร์แล้ว
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมกลับไปเคมบริดจ์อีกครั้ง คราวนี้พาคณะออกจากห้องเรียน ไปตามรอยนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่ง ผู้ทำให้มนุษย์ตั้งคำถามเรื่อง“เวลา”ได้ลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป
เขาคือ “สตีเฟน ฮอว์กิ้ง”นักวิทยาศาสตร์ที่พิการไปทั่วทั้งร่างกาย
ผมไปยืนถ่ายรูปที่หน้า Corpus Christi College ตรงหน้านาฬิกาเรือนหนึ่ง แล้วบอกทุกคนว่า “ตรงนี้แหละครับ เป็นจุดที่สตีเฟน ฮอว์กิ้ง มาเป็นประธานในพิธีเปิดนาฬิกาเรือนนี้ เมื่อปี 2008”
นาฬิกาเรือนนั้น คือ “นาฬิกาตั๊กแตน”
บนหน้าปัดขนาดใหญ่ มีแมลงโลหะสีทอง ตัวโต หน้าตาประหลาด คล้ายตั๊กแตน มันใช้ปลายเท้าจิกเฟือง ทุกครั้งที่เท้ากระตุก เฟืองจะขยับ และหนึ่งวินาทีก็ถูกกระชากออกไปจากโลกนี้
นาฬิกาเรือนนี้สร้างขึ้นโดยจอห์น ซี. เทย์เลอร์นักธุรกิจใจบุญ ศิษย์เก่าของ Corpus Christi College เขาไม่ได้อยากสร้างนาฬิกาที่ “บอกเวลา” แต่ต้องการสร้างนาฬิกาที่ทำให้คน “คิดถึงเวลา”
คิดถึงเวลาที่ผ่านไป และเวลาที่เหลืออยู่
ตั๊กแตนตัวนี้จึงถูกออกแบบให้เป็น “ตัวกินเวลา”แม้ไม่ได้กัดด้วยปาก แต่กระชากเวลาด้วยปลายเท้า ทีละจังหวะ ทีละวินาทีเพื่อเตือนว่า เวลาของเราถูกกินไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครต่อรองได้
มันไม่มีเข็ม ไม่มีตัวเลขกระตุกบ้าง เดินบ้าง หยุดบ้างเหมือนชีวิตของคน เหมือนองค์กร และเหมือนบ้านเมือง
แล้วทำไมคนที่เขาเชิญมาเปิดนาฬิกาเรือนนี้ จึงเป็น สตีเฟน ฮอว์กิ้ง
เพราะฮอว์กิ้งคือนักวิทยาศาสตร์ที่แม้จะพิการทั้งร่างกาย และรู้ดีว่าเวลาในชีวิตของตนเองนั้นมีอยู่จำกัด แต่เขากลับเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่อง “เวลา” ในระดับจักรวาล
เขาศึกษาอดีต ปัจจุบัน และจุดจบของจักรวาลในขณะที่ร่างกายของเขาเอง ค่อย ๆ ถูก “เวลา” พรากความสามารถไปทีละอย่าง ๆ
ฮอว์กิ้ง จึงรู้ดีกว่าใครว่าเวลาไม่เคยปรานี ไม่ว่าเราจะฉลาด มีอำนาจ หรือร่ำรวยแค่ไหน
ที่หน้านาฬิกาตั๊กแตน ผมยืนอยู่ตรงจุดที่ฮอว์กิ้งเคยนั่งรถเข็นมาทำพิธีเปิด มองดูตั๊กแตนโลหะค่อย ๆ กระชากเวลาไปทีละวินาที แล้วผมก็นึกถึงโลกที่เราอยู่ และนึกถึงประเทศไทย
นึกถึงเวลาที่ประเทศไทยเดินทาง มาบนถนนประชาธิปไตยเกือบร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น
นึกถึงการเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ที่กำลังจะมาถึงซึ่งผลสำรวจหนึ่งเผยว่า 45% ของผู้ตอบยังไม่รู้ว่าจะเลือกพรรคใด ขณะที่อีกผลสำรวจระบุว่า 36% ยังไม่เห็นตัวเลือกนายกรัฐมนตรีที่ชัดเจน
ซึ่งสะท้อนอารมณ์ของสังคมไทยในขณะนี้ในขณะที่แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีเกือบทุกคน ที่บอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคเทาแต่ส่วนใหญ่ก็สงวนท่าทีและไม่บอกชัดว่าพรรคไหนคือสีเทา
ขณะเดียวกันเราก็รู้ดีว่า การเลือกตั้งทุกครั้งมาพร้อมการซื้อเสียงที่หนักหนาขึ้น ซึ่งครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน และจะทำให้ประเทศไทยวนเวียนอยู่อย่างนี้
นาฬิกาเรือนนี้มีชื่อว่า Chronophageแปลตรงตัวว่า “ตัวกินเวลา”
เมื่อปลายเท้าตั๊กแตนก้าวไปหนึ่งก้าว เวลาก็ถูกกระชากไปหนึ่งวินาทีไม่สามารถเรียกคืนได้ไม่สามารถลบการตัดสินใจได้และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ความเสียหายใด ๆ ได้
นาฬิกาตั๊กแตนจึงไม่ใช่อนุสรณ์ของช่างทำนาฬิกาแต่เป็นคำเตือนว่า เวลาเดินผ่านไป เรียกกลับคืนไม่ได้
วันนี้ ผมพาคณะกลับจากเคมบริดจ์ถึงเมืองไทยแล้ว แต่นาฬิกาเรือนนั้นและตั๊กแตนตัวนั้นยังคงเดินต่อไปยังกระชากเวลาของทุกคนไป ทีละวินาที
ไม่ว่าจะเป็นเวลาของข้าราชการเวลาของนักการเมืองเวลาของนักธุรกิจหรือเวลาของเราทุกคน
ตั๊กแตนไม่สนใจ ตำแหน่งอำนาจ หรือทรัพย์สินมันกระชากเวลาไปอย่างเท่าเทียมกันและเมื่อเวลาหมดลงสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือร่องรอยที่เราทิ้งไว้ให้สังคม
ผู้มีอำนาจทั้งหลาย จึงพึงถามตนเองว่า ท่านได้ใช้เวลาที่มีอยู่เพื่อสร้างบ้านเมืองหรือเพียงเพื่อยื้ออำนาจของตนเอง
เพราะตั๊กแตนของท่าน ก็ไม่เคยหยุดงับเวลา
และประชาชนก็ไม่หยุดจำ ว่าใครทำอะไรไว้กับประเทศนี้







