'เอเลี่ยนสปีชีส์' ไม่กระทบการเพาะเปลี่ยงกุ้ง ห่วงโรคระบาดดันต้นทุนเพิ่ม 20%

'เอเลี่ยนสปีชีส์' ไม่กระทบการเพาะเปลี่ยงกุ้ง ห่วงโรคระบาดดันต้นทุนเพิ่ม 20%

สมาคมกุ้งไทย เผน โรคระบาดทำให้ต้นทุนการเลี้ยงกุ้ง เพิ่มขึ้น 20% ยืนยัน เอเลี่ยนสปีชีส์ ไม่กระทบการเพาะเปลี่ยงกุ้ง

สถานการณ์อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งไทยกำลังเผชิญการแข่งขันในตลาดโลก และปัญหาเรื้อรังที่บั่นทอนกำลังการผลิต ข้อมูลจากสมาคมกุ้งไทยระบุชัดเจนว่าต้นเหตุที่ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงและผลผลิตที่ลดต่ำ คือ "โรคระบาดในกุ้ง" ไม่ใช่กระแสความกังวลเรื่อง "เอเลี่ยนสปีชีส์" 

นางสาวพัชรินทร์ จินดาพรรณ เลขาธิการสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า ปัญหาโรคกุ้งที่แก้ไม่ตกได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายป่านชีวิตเกษตรกร โดยโรคระบาดทำให้ต้นทุนการเลี้ยงกุ้ง เพิ่มขึ้นสูงถึง 20% และเมื่อกุ้งไม่สมบูรณ์หรือตายจากโรค ผลผลิตก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถผลิตได้ปริมาณเท่าเดิม

ขณะที่ต้องเผชิญกับต้นทุนต่อหน่วยที่สูงขึ้นมหาศาล นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องตระหนักว่า หากไม่สามารถควบคุมและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความอยู่รอดของเกษตรกรไทยที่ถือเป็นรากฐานของห่วงโซ่อุปทานอาหารก็กำลังจะถูกกัดกร่อนไปเรื่อย ๆ

ในช่วงที่ผ่านมาสังคมให้ความสนใจกับเรื่อง "ปลาหมอคางดำ" ในฐานะเอเลี่ยนสปีชีส์ที่กำลังแพร่กระจายในแหล่งน้ำธรรมชาติ จนเกิดความกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อฟาร์มกุ้ง แต่สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งยุคใหม่แล้ว สิ่งนี้เป็นเพียง "ประเด็นที่สร้างความหลงทาง" 

 

น.ส.พัชรินทร์ ยืนยันว่าปัญหาปลาหมอคางดำไม่มีผลกระทบต่อการเลี้ยงกุ้งในระบบปิด ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกุ้งหลักของประเทศ โดยอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งของไทยพัฒนาไปมาก เกษตรกรส่วนใหญ่โดยเฉพาะรายใหญ่และรายกลางได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ "ระบบการเลี้ยงแบบพัฒนา (Intensive Farming)" หรือ "กึ่งพัฒนา (Semi-Intensive Farming)" ซึ่งมีลักษณะเป็น "ระบบปิด" หรือมีการควบคุมน้ำเข้า-ออกที่เข้มงวด

การเลี้ยงกุ้งในระบบปิดนี้พิสูจน์แล้วว่า เป็นทั้งเกราะป้องกันและโอกาสสำคัญในการยกระดับอาชีพเกษตร เนื่องจากสามารถป้องกันสัตว์ต่างถิ่นแปลกปลอม (Biosecurity)  เพราะระบบปิดมีการติดตั้งตาข่ายหรือระบบการกรองน้ำที่เข้มงวด ทำให้สัตว์น้ำแปลกปลอม เช่น ปลาหมอคางดำ หรือสัตว์อื่น ๆ  ไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในบ่อเลี้ยงได้

ต่างจากการเลี้ยงแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาน้ำในแหล่งธรรมชาติโดยตรง  นอกจากนี้ระบบปิดยังช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงได้ เช่นความเค็มหรืออุณหภูมิน้ำ เมื่อสามารถลดความเสี่ยงจากศัตรูภายนอกและควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดี อัตราการรอด (Survival Rate) ของกุ้งก็จะสูงขึ้น ทำให้ได้ผลผลิตต่อพื้นที่ที่แน่นอนและสูงกว่าการเลี้ยงแบบเปิดอย่างมาก

สำหรับเกษตรกรที่ยังคงใช้ระบบการเลี้ยงแบบดั้งเดิมและต้องพึ่งพาน้ำจากธรรมชาติโดยตรง นี่คือโอกาสสำคัญที่ต้องพิจารณา "การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบกึ่งพัฒนา" โดยเริ่มจากการลงทุนในสิ่งที่ทำได้ทันที เช่น การจัดทำบ่อพักน้ำ (Reservoir) หรือ การติดตั้งระบบกรองน้ำเบื้องต้น ก่อนปล่อยเข้าบ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นการลงทุนไม่สูงนัก แต่เพิ่มความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ได้มหาศาล โดยเฉพาะการป้องกันสัตว์แปลกปลอม ซึ่งนำไปสู่การลดความเสี่ยงและสร้างผลผลิตสม่ำเสมอ เป็นหนทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

ส่วนความเข้าใจประเด็นเอเลี่ยนสปีชีส์ในบริบทของอุตสาหกรรมกุ้ง อาจทำให้ภาครัฐและสังคมละเลยภัยร้ายตัวจริง นั่นคือ ปัญหาโรคกุ้ง ที่ต้องการการสนับสนุนงานวิจัยและมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรกรได้ส่งเสียงเรียกร้องแล้วว่า ที่ผ่านมาการแก้ไขยังไม่เป็นรูปธรรมเพียงพอ ดังนั้น หัวใจสำคัญและเร่งด่วนที่สุดที่ภาครัฐควรทุ่มเททรัพยากรเข้าจัดการคือ

1.สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาวัคซีน/สารชีวภาพ เพื่อต่อต้านโรคกุ้งชนิดต่าง ๆ

2.สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังโรคกุ้ง ที่ครอบคลุมและรวดเร็ว

3.สนับสนุนสินเชื่อและองค์ความรู้ เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบการเลี้ยงแบบพัฒนาหรือกึ่งพัฒนา ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยลดต้นทุนและป้องกันภัยคุกคามจากสัตว์แปลกปลอมได้อย่างยั่งยืน

การอยู่รอดของอุตสาหกรรมกุ้งไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตื่นตระหนกกับเอเลี่ยนสปีชีส์ที่ไม่กระทบต่อระบบปิด แต่ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาที่ต้นตอ นั่นคือโรคระบาด และการผลักดันให้เกษตรกรทุกคนก้าวเข้าสู่ "การเลี้ยงแบบพัฒนา" เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรอย่างแท้จริง